posttoday

ทางเลือกลงทุนกองทุนหุ้นเอเชีย

29 เมษายน 2565

ผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง และสามารถลงทุนได้ 5 ปีขึ้นไป แนะนำลงทุนใน 4 ประเทศในกลุ่มเอเชียที่เรายังมีมุมมองบวก ได้แก่ จีน เวียดนาม ญี่ปุ่น และไทย

การปฏิวัติอุตสาหกรรมที่เคยเกิดขึ้นในยุโรป ที่ทำให้ภาคการผลิตเติบโตขึ้นอย่างมาก สามารถผลิตสินค้าได้จำนวนมหาศาลภายในเวลาไม่นาน จนทำให้กลุ่มประเทศเหล่านั้นมีความมั่งคั่งเพิ่มสูงขึ้น แรงงานคุณภาพชีวิตก็ดีขึ้น ตามอัตราค่าจ้างที่สูง เศรษฐกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดด จนกระทั่งเกิดการเคลื่อนย้ายอุตสาหกรรมเข้าสู่เอเชีย นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการดำเนินรอยตามความมั่งคั่ง เส้นทางเดียวกันกับที่ประเทศพัฒนาแล้วจากฝั่งตะวันตกเคยเดินมาในอดีต ผลก็คือตัวเลขอัตราการเติบโตของ GDP ย้อนหลัง 10 ปีของเอเชียอยู่ในระดับสูง

กุญแจหนุนการเป็นอุตสาหกรรมมากขึ้น

1. วัยแรงงานเยอะ ค่าแรงถูก ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายอุตสาหกรรมเข้าสู่เอเชีย เพราะอุตสาหกรรมจะขับเคลื่อนได้ ต้องอาศัยวัยแรงงานจำนวนมาก ประกอบกับค่าแรงที่ถูก ตัวอย่างเช่น เวียดนาม มีสัดส่วนประชากรอายุ 15-54 ปี สูงถึง 61% ขณะที่เมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ วัยแรงงานมีจำกัด ค่าแรงแพง

2. ประชากรมีจำนวนมาก โดยประชากรเอเชียไม่รวมญี่ปุ่น ณ สิ้นปี 2021 มีเกินกว่าครึ่งของประชากรทั่วโลก หรือ กว่า 58% (ที่มา: U.N. Population Division, Morgan Stanley Research) เมื่อประชากรมีรายได้ก็เป็นผู้บริโภคไปด้วยพร้อมกัน ซึ่งยิ่งมีประชากรที่มีกำลังซื้อมากขึ้นเท่าใด อัตราการบริโภคที่มีจำนวนมหาศาลตามจำนวนประชากรที่สูง ก็จะผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง

3. ฐานการผลิตสำคัญของโลก ด้วยข้อได้เปรียบในด้านการผลิตที่มีต้นทุนถูก ส่งผลให้เอเชียกลายเป็นฐานการผลิตสินค้าส่งออกไปในหลายประเทศโดยเฉพาะกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอุปโภค บริโภคทั่วไป หรือสินค้าไอทีของแบรนด์ดังที่คนทั้งโลกรู้จัก ต่างก็มีฐานการผลิตอยู่ที่เอเชีย นอกจากนี้เม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ ก็ยังไหลเข้าเอเชียอย่างต่อเนื่อง แล้วเศรษฐกิจจะไม่เติบโตได้อย่างไร

4. ธุรกิจเทคโนโลยีที่พร้อมผลักดันเศรษฐกิจ เป็นที่ตั้งของธุรกิจเทคมากมาย หลายบริษัทจะมาแทนที่หุ้นเทคยักษ์ใหญ่ของโลก เช่น ธุรกิจเกม Tencent (จีน) แทน EA, ธุรกิจอีคอมเมิร์ช Alibaba (จีน) แทน ebay, ธุรกิจผลิตชิป TSMC (ไต้หวัน) แทน Intel เป็นต้น ซึ่งพร้อมจะแข่งขันกับประเทศพัฒนาแล้ว และเป็นแรงผลักดันเศรษฐกิจเติบโตได้อีกมาก

มองไปข้างหน้า แม้ปีนี้เศรษฐกิจโลกจะดูไม่ราบรื่นเพราะมีปัจจัยกดดันหลายเรื่อง ทั้งวิกฤติรัสเซียกัยูเครนที่กดดันให้เงินเฟ้อปรับขึ้นทั่วโลก ทำให้ธนาคารกลางหลายประเทศต้องหันมาใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัวมากขึ้น โดยเฉพาะสหรัฐฯที่มีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ตลาดคาดเพื่อสกัดเงินเฟ้อ

นอกจากนี้ การที่จีนยังคงใช้มาตรการ Dynamic Zero Covid Policy อย่างเข้มข้นสร้างความกังวลทั้งด้านการเติบโตของเศรษฐกิจไม่เฉพาะจีนแต่รวมถึงการค้าโลก (จีนคิดเป็น 12% ของ global trade) อีกทั้งยังเพิ่มแรงกดดันต่อการติดขัดในห่วงโซ่อุปทานด้วย อย่างไรก็ดี ประเทศในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น จีน เวียดนาม ยังมีกระสุนเม็ดเงินพร้อมสำหรับการใช้นโยบายการคลัง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย ไม่รีบร้อนปรับขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลดีต่อทั้งเศรษฐกิจและตลาดหุ้น โดยแม้ IMF จะปรับลดประมาณการเศรษฐกิจลง แต่ก็คาดการณ์ว่ากลุ่มประเทศ Emerging and Developing Asia จะยังขยายตัวได้ถึง 5.4% และ 5.6% ในปีนี้และปีหน้าตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าฝั่งสหรัฐฯและยุโรปที่เพียง 2-3% นอกจากนี้ในแง่ Valuation ตลาดหุ้นฝั่งเอเชีย ยังอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว

การที่ตลาดย่อตัวในระยะนี้ จึงเป็นโอกาสที่ไม่ควรพลาดทยอยแบ่งไม้สะสมสำหรับการลงทุนระยะยาว อย่างไรก็ดี ในระยะสั้น ยังอาจจะเห็นตลาดหุ้นทั่วโลกย่อตัวลงได้อยู่ สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง และสามารถลงทุนได้ 5 ปีขึ้นไป แนะนำลงทุนใน 4 ประเทศในกลุ่มเอเชียที่เรายังมีมุมมองบวก ได้แก่ จีน เวียดนาม ญี่ปุ่น และไทย

K-CHINA ลงทุนผ่านกองทุนหลัก JPMorgan Funds – China Fund ที่ลงทุนในหุ้นจีนทุกชนิด (All China) ที่คุณภาพดี เติบโตสูง เน้นหุ้นกลุ่มเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) เช่น กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มลดการปล่อยคาร์บอน กลุ่มอุปโภคบริโภคและสุขภาพ โดยกองทุน K-CHINA มีให้เลือกทั้งแบบจ่ายปันผล และไม่จ่ายปันผล รวมถึงสำหรับลดหย่อนภาษีทั้ง RMF และ SSF

K-VIETNAM เน้นลงทุนหุ้นรายตัว 70-80% ของพอร์ตการลงทุน ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำของเวียดนาม ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว และมี Valuation อยู่ในระดับที่เหมาะสม เช่น กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ การเงิน และสินค้าอุปโภคบริโภค ส่วนอีก 20-30% เป็นการลงทุนในกองทุนประเภท Active และ Passive ที่ลงทุนในประเทศเวียดนาม

K-JP ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Schroder International Selection Fund Japanese Equity ลงทุนในหุ้นญี่ปุ่นโดยไม่จำกัดขนาดและหมวดอุตสาหกรรม โดยมีกองทุนสำหรับลดหย่อนภาษีแบบ RMF ให้เลือกลงทุนด้วย

และสุดท้าย หากอยากลงทุนในประเทศ แนะนำ K-STAR ลงทุนหุ้นไทยพื้นฐานดีเติบโตในระยะยาวที่มีศักยภาพการเติบโตที่ดีในระยะยาว และมีการจับจังหวะซื้อขายทำกำไร