posttoday

อยู่ให้รอด มีความรู้ กู้เงินได้ ขายของดี มีความยั่งยืน ใครจะรอดจนถึงวันนั้น

11 ตุลาคม 2564

ถ้าเราได้มีโอกาสถอดหัวโขน หน้ากากทางสังคม ลงไปนั่งคุยแลกเปลี่ยนด้วย ทั้งท่านทั้งหลายและตัวผู้เขียนจะตะลึงกับวิธีคิด วิธีเอาตัวรอด ที่เราเรียกว่า ความคิดสร้างสรรค์ ได้เป็นอย่างดี

คอลัมน์ เศรษฐกิจคิดง่าย ๆ ตอนที่ 43/2564? โดย...สุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ เครดิตบูโร

บทความในวันนี้เกิดจากการได้อ่านข่าวการบรรยายของอดีตท่านผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ระบุถึงระบบนิเวศน์ของการศึกษาไทยที่จะพัฒนาให้เท่าทันกับความต้องการของยุคสมัยในอนาคตนั้นมีความจำเป็นต้องมีการ รื้อ ปรับแต่ง และเสริมสร้าง ไม่ใช่แค่เพียงกติกา แต่ต้องมาตั้งแต่มุมมอง แนวความคิด ความมุ่งมั่นชัดเจน และการผลักดันอย่างสุดกำลังให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ผู้เขียนมาสะดุดตรงคำที่ระบุในข่าวสารที่ว่า

"พรสวรรค์นั้นมีกันทุกคน และโอกาสที่จะได้รับนั้นมันมีไม่เท่ากัน"

ข้อความข้างต้นต้องนับว่าเป็นเรื่องจริงแท้ เป็นเรื่องที่ตอกย้ำในทุกเรื่องทุกมิติของสังคม เศรษฐกิจ การเมืองของประเทศเราโดยแท้ ทุกวันนี้เรื่องที่ร้องกันตลอดถึงความเดือดร้อนในการทำมาหากิน โดยเฉพาะคนค้าขายตัวเล็กตัวน้อยที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Micro SMEs หรือ MSME (ในแวดวงการประชุมสากลจะอ่านสะกดคำนี้ว่า "มิสมี" ก็เป็นอันเข้าใจว่าหมายถึง MSME) ซึ่งถ้าเราได้มีโอกาสถอดหัวโขน หน้ากากทางสังคม ลงไปนั่งคุยแลกเปลี่ยนด้วย ทั้งท่านทั้งหลายและตัวผู้เขียนจะตะลึงกับวิธีคิด วิธีเอาตัวรอด ที่เราเรียกว่า ความคิดสร้างสรรค์ ได้เป็นอย่างดี ตัวอย่างเช่น ร้านขายก๋วยเตี๋ยว แบบบ้าน ๆ เวลาจัดใส่ถ้วยใส่ชามออกมาแล้วมันจะสวยสดงดงามยิ่ง ถึงแม้ว่าจะเป็นรถเข็นก็ตาม (ไม่เชื่อท่านดูรูปที่ผู้เขียนแนบมาแสดงครั้งนี้พร้อมกับบทความ) แต่ทำไมการเจริญเติบโต การขยายกิจการ หรือการเข้าถึงแหล่งทุน แหล่งเงินเพื่อนำมาต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ อันเกิดจากพรสวรรค์มันถึงไปได้ยากเย็นในบ้านเรา และถ้าลงไปคุยลึก ๆ กับ MSME ของไทยเราจะพบว่า สิ่งที่เขาเหล่านั้นต้องการในเวลานี้และในระยะต่อไปคือ

อยู่ให้รอด

มีความรู้

กู้เงินได้

ขายของดี

มีความยั่งยืน

ในช่วงแรกเมื่อเศรษฐกิจและธุรกิจได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จนต้องมีการสั่งหยุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจซึ่งก่อให้เกิด Income shock หรือหลุมรายได้ที่ทำให้กระแสเงินรับจ่ายมีปัญหาอย่างรุนแรง บางรายมีเงินออมเงินเก็บก็งัดออกมาพยุงตัวเอง จนกระทั่งการแพร่ระบาดรอบสาม เงินรองรังตรงนั้นน่าจะหมดไปแล้ว คำถามคือการเปิดและผ่อนผันให้มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจปลายปี 2564 จะพอช่วยให้เกิดการอยู่รอดเป็นจำนวนกี่มากน้อยโดยเฉพาะธุรกิจบริการ ร้านอาหาร และการท่องเที่ยว เชื่อกันว่าคงจะมีจำนวนการล้มหายตายจากไปไม่น้อย

ในช่วงต่อมาก็คือ การสร้างความรู้ใหม่ในการรับมือ ทั้งความรู้เรื่องสุขอนามัยแบบใหม่ พร้อม ๆ ไปกับการหาแหล่งทุน แหล่งกู้ยืมเงินเพื่อเข้ามาเสริมสภาพคล่อง เพื่อเข้ามาปรับโครงสร้างหนี้ให้มีตารางการชำระหนี้อย่างเหมาะสมสอดคล้องกับกระแสเงินสดรับจ่ายอันใหม่ อย่าลืมว่า การค้าขายแบบไม่สามารถพบเห็นต่อหน้าได้ จะต้องทำอย่างไร ต้องเปลี่ยนวิธีทำอย่างไร ต้องมีระบบการวิ่งส่งของแบบไหน อย่างไร ความต้องการ และความพึงพอใจของลูกค้าคืออะไร เรื่องที่ไม่เคยคิดว่าต้องรู้ก็ต้องรู้ให้ได้ จินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ พรสวรรค์ที่ตนเองคิดว่ามี ต่างก็งัดออกมาดำเนินการ จนกระทั่งถึงตอนนี้บางรายสามารถตั้งตัวได้ แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ล้มเหลวและต้องเจอกับภูเขาแห่งหนี้ที่ทับถมอยู่จนยากที่จะดำเนินธุรกิจต่อไปได้ เพียงแต่ว่าเวลานี้มันยังมีมาตรการช่วยเหลือคุ้มครอง ชะลอไม่ให้หนี้เสียไหลลงมาอย่างเร็วและแรงเท่านั้น ทุกฝ่ายก็รู้แก่ใจว่า ถ้ายกมาตรการผ่อนผันออกไป คงมีตัวเลขที่สูงกว่าที่เรา ๆ ท่าน ๆ เห็นกันอยู่ในเวลานี้

ถ้าเราย้อนไปในวิกฤติปี 2540 การเปิดท้ายขายของ การเกิดตลาดนัดขายของ ตลาดนัดขายของที่ "คนเคยรวย" เอาออกมาขายกันจะมีมากมาย มันคือการสร้างพื้นที่การค้าขายในระบบที่ต้องมีการพบเห็นต่อหน้า แต่ในเวลานี้ MSME ของไทยเราต้องการตลาด ต้องการพื้นที่การขายของที่ต้นทุนถูก ไม่เสียเงินค่าเช่าหน้าร้านแพง ๆ มันเลยมาลงตัวที่ platform การขายของแบบไม่ต้องพบเห็นกันต่อหน้า บวกด้วยระบบการชำระเงินที่ไม่มีค่าธรรมเนียม บวกด้วยระบบการวิ่งส่งข้าวของที่รวดเร็ว ทั้งสามเสาหลักคือ Platform + Payment system + Logistic system ได้ก่อให้เกิดการตอบสองต่อผู้บริโภคที่มีนิสัย "ต้องการเดี๋ยวนี้" ได้อย่างลงตัว เรื่องพวกนี้จะเห็นได้ว่า MSME ไทยก็ไม่เป็นสองรองใครเหมือนกัน

เรื่องสุดท้ายคือ ถ้าเศรษฐกิจไทยเริ่มกลับมา หน้าตา รูปแบบ เงื่อนไขการทำธุรกิจคงจะแตกต่างหลากหลายออกไป บางเรื่องคงยากมาก ๆ ที่จะกลับมาเหมือนเดิม เหมือนตอนก่อนเกิดการแพร่ระบาดแบบปี 2562 คำถามคือ MSME ไทยเราที่ผ่านความผิดปกติ สู่ความผิดปกติใหม่ เข้าสู่ความผิดปกติที่คุ้นเคยจนเป็นสิ่งผิดปกติที่คุ้นชิน (New normal) จะยังคงดำรงต่อไปหรือไม่ เรื่องหนึ่งที่ผู้เขียนคิดว่ามันจะเป็นฝันร้ายของผู้คนในยุคสมัยหน้าก็คือ กฎกติกา ระเบียบวิธีการ มันจะไม่ยอมเปลี่ยน มันจะเปลี่ยนน้อยมาก ที่เลวร้ายคือมันกลับไปที่เดิม การทำงานแบบเช้าชามเย็นชามบนระบบอนาล็อก ทุกอย่างเซ็นสด ต้องมาให้เห็นต่อหน้า อำนาจอยู่ที่โต๊ะ

แต่ในโลกการค้าขายมันเป็นแบบดิจิทัล เจ้าของกิจการเป็นคนไทยพักอยู่ในต่างประเทศ เปิดกิจการโดยขออนุญาตผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ สั่งของจากเมืองจีนโดยไอเดียการออกแบบเป็นของตนเอง ส่งของให้ลูกค้าผ่าน platform ชำระเงินผ่านระบบของเงินบาทดิจิทัลของธนาคารกลางจาก wallet ของคนซื้อไปยัง wallet คนขายข้ามสกุลเงินได้โดยค่าธรรมเนียมต่ำสุด ๆ หรือแทบไม่มีเลย การออกใบกำกับภาษีไม่ต้องใช้กระดาษ เป็นข้อมูลเข้าไปในระบบอัตโนมัติและคนขายของยื่นขอสินเชื่อกับธนาคารผ่าน Digital lending Application โดยไม่ต้องยื่นเอกสารอะไรอีกแล้ว การปะทะกันของ ไดโนเสาร์ระบบเก่า กับอุกกาบาตดิจิทัลหลังโควิด-19 จะเป็นบทพิสูจน์ว่า ใครจะสูญพันธุ์ก่อนกัน