posttoday

เปลี่ยนกลยุทธ์ลงทุนธุรกิจการแพทย์ด้วย Healthcare Innovation

05 มีนาคม 2564

ถ้าพูดถึง Disruptive Technology Investment ในยุคนี้ก็ต้องกล่าวถึงกองทุนของ ARK Invest ที่ถือเป็นกองทุนที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่นที่สุดในโลกกองหนึ่งตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ด้วยกลยุทธ์การลงทุนที่มุ่งเน้นหุ้นผู้สร้างนวัตกรรมเปลี่ยนโลกที่มีศักยภาพจะเติบโตแบบก้าวกระโดดในอนาคต ทำให้กองทุนของ ARK ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีเม็ดเงินไหลเข้าไปลงทุนมหาศาล จนขึ้นแท่นเป็น Actively-managed ETF ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

โดย ภาคภูมิ พีรยวัฒนา AFPT™

Wealth Manager ธนาคารทิสโก้

ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา Cathie Wood ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ ARK Invest ได้ให้สัมภาษณ์สำนักข่าว Bloomberg ว่า ARK มองว่า ในช่วง 5 ปีข้างหน้า หุ้นกลุ่มที่จะก้าวขึ้นมาเป็น “The Next FAANG” และเป็นหุ้นที่จะเติบโตแบบ “Exponential Growth” สามารถทำผลตอบแทนชนะหุ้นอย่าง Tesla ได้ ก็คือหุ้นกลุ่ม “Genomics” และนั่นเป็นเหตุผลที่ Portfolio ของกองทุน ARK มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นที่เป็น “Healthcare Innovation” มากที่สุดเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มอื่นๆ

ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ก่อน ARK Invest ก็ได้สร้างความฮือฮาให้กับนักลงทุนทั่วโลกอีกครั้ง หลังจากที่ทีมงานได้มีการเผยแพร่ “Big Ideas 2021” ซึ่งประกอบด้วย 15 ธีมการลงทุนที่น่าสนใจที่จะเติบโตขึ้นมาเป็นนวัตกรรมเปลี่ยนโลกในอนาคต สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ 3 จาก 15 ธีมการลงทุนทั้งหมดใน Big Ideas 2021 นั้นเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม Healthcare ซึ่งนับเป็นสัดส่วนที่มากที่สุดเมื่อเทียบกับธีมการลงทุนอื่นๆ ถือเป็นการยืนยันมุมมองเชิงบวกของ ARK ที่มีต่ออนาคตกลุ่ม Healthcare Innovation ได้เป็นอย่างดี โดย ARK ได้แบ่งธีมการลงทุน Healthcare Innovation ที่น่าสนใจออกเป็นดังนี้

Long-Read Sequencing (LRS) เป็นเทคโนโลยีพันธุศาสตร์ในการอ่านและวิเคราะห์ DNA ทั้งหมดของร่างกายมนุษย์ที่มีความครบถ้วนและแม่นยำสูง ทำให้สามารถวินิจฉัยตำแหน่งการกลายพันธุ์ของยีน (Mutation) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญในการเกิดโรคต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ โดยเทคโนโลยี LRS นี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการรักษากลุ่มโรค Rare Diseases ที่มีผู้ป่วยกว่า 350 ล้านคนทั่วโลก รวมถึงโรคที่เกิดจากความผิดปกติทางด้านพันธุกรรมและโรคมะเร็งชนิดต่างๆ ที่พบในเด็กเล็กได้

ทั้งนี้ ARK เชื่อว่าด้วยต้นทุนการทำ DNA Sequencing ที่ต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญมาอยู่ที่ระดับราว 1,000 USD ในปัจจุบันและมีแนวโน้มที่จะลดลงสู่ระดับเพียง 100 USD ในปี 2025 ประกอบกับ ความต้องการที่มีต่อเทคโนโลยี LRS ที่มีความครบถ้วนและแม่นยำสูงจากการที่มีเทคโนโลยี AI เข้ามาเป็นตัวช่วยประมวลผลข้อมูล จะเป็นตัวเร่งสำคัญที่ทำให้มูลค่าตลาดหรือ Total Addressable Market (TAM) ของ LRS เพิ่มขึ้นจาก 250 ล้าน USD ในปี 2020 ไปเป็น 5,000 ล้าน USD ภายในปี 2025 หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยแบบทบต้นที่สูงถึง 82% ต่อปี

Multi-Cancer Screening ARK มองว่านวัตกรรมในการตรวจหาเซลล์มะเร็งที่เรียกว่า “Liquid Biopsy” หรือการนำตัวอย่างเลือดไปตรวจหาเซลล์มะเร็งนั้น จะเป็นนวัตกรรมการแพทย์ที่สามารถวินิจฉัยโรคมะเร็งได้อย่างแม่นยำและช่วยชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งที่มีจำนวนกว่า 1.4 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งมากกว่าทุกๆ เทคโนโลยีที่เคยมีมาก่อนหน้าในประวัติศาสตร์โลก เนื่องจากเทคโนโลยีดังกล่าว เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพกว่าและมีความสะดวกกว่าเทคโนโลยีการตรวจหามะเร็งในรูปแบบเก่าเป็นอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ ที่คนไข้ไม่ต้องถูกทำ Detox ลำไส้ วางยาสลบ และส่องกล้องเพื่อตรวจหามะเร็งอีกต่อไป แต่ใช้เพียงแค่การเจาะเลือดเพื่อนำตัวอย่างเลือดไปตรวจหาเซลล์มะเร็งเท่านั้น

นอกจากนี้ การที่เทคโนโลยี Liquid Biopsy สามารถตรวจพบเซลล์มะเร็งชนิดต่างๆ ได้ตั้งแต่ในระยะเริ่มต้น ช่วยให้คนไข้มีโอกาสสูงขึ้นที่จะสามารถรักษาโรคมะเร็งได้หายขาดและลดอัตราการเสียชีวิตลงได้อย่างมีนัยสำคัญ โดย ARK ได้มีการเปิดเผยสถิติที่น่าสนใจว่า กลุ่มผู้ป่วยมะเร็งที่มีการตรวจพบตั้งแต่ในระยะเริ่มต้น (คิดเป็น 59% ของ Cases ผู้ป่วยมะเร็งทั้งหมด) จะมีอัตราการเสียชีวิตที่น้อยเพียงแค่ 17% เมื่อระยะเวลาผ่านไป 5 ปี เปรียบเทียบกับ กลุ่มผู้ป่วยมะเร็งที่มีการตรวจพบในระยะลุกลาม (คิดเป็น 17% ของ Cases ผู้ป่วยมะเร็งทั้งหมด) จะมีอัตราการเสียชีวิตที่สูงถึง 55% ในช่วงเวลาเดียวกัน

ปัจจุบันมีหลายบริษัทในกลุ่ม Healthcare ได้นำเทคโนโลยีดังกล่าวไปต่อยอดและพัฒนาผลิตภัณฑ์ตรวจหามะเร็งชนิดอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม ซึ่งถือเป็นโอกาสในการเติบโตของบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับ Early Cancer Detections ที่จะสามารถเพิ่ม Market Share ในตลาดผู้ป่วยมะเร็งที่มีขนาดใหญ่มหาศาลทั่วโลกได้

ปัจจุบันต้นทุนในการตรวจหาเซลล์มะเร็งอยู่ที่ประมาณ 1,500 USD ทาง ARK คาดว่าต้นทุนดังกล่าวจะลดลงเหลือเพียง 250 USD ภายในปี 2025 ส่งผลให้จำนวนผู้ใช้งานมีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นและจะส่งผลให้ขนาดตลาดของ Multi-Cancer Screening ขยายตัวจาก 6 หมื่นล้าน USD ไปสู่ระดับ 1.5 แสนล้าน USD หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยแบบทบต้นราว 20% ต่อปี

Cell and Gene Therapy : Generation 2 ปัจจุบันยังคงมีโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ที่มนุษย์ยังไม่สามารถหาแนวทางการรักษาที่มีประสิทธิภาพเพียงพอได้ อีกทั้งหลายโรคมักจะเกิดจากความผิดปกติของยีน ARK จึงมองว่าเทคโนโลยี Gene Therapy จะเข้ามามีบทบาทสำคัญเพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมการแพทย์อย่างต่อเนื่องในช่วง 10 ข้างหน้า ยกตัวอย่างเช่น เทคโนโลยีการตัดต่อยีน (Gene Editing) ที่สามารถตัดต่อยีนได้ภายในร่างกายคนไข้ (In Vivo Gene Therapies) โดยไม่ต้องนำยีนคนไข้ออกมาตัดต่อด้านนอกและฉีดกลับเข้าไปในร่างกายคนไข้ (Ex Vivo Gene Therapies) ซึ่ง In Vivo Gene Therapies ถือเป็นวิธีที่มีต้นทุนที่ต่ำกว่า สามารถลดโอกาสติดเชื้อได้ดีกว่าและนำไปรักษาอวัยวะที่มีความละเอียดอ่อนได้ เช่น ตา ตับ ระบบประสาทส่วนกลางและกล้ามเนื้อ

ARK คาดว่าในช่วง 1 ทศวรรษข้างหน้า FDA ของสหรัฐฯ จะมีการอนุมัติการรักษาแบบ Gene Therapies รูปแบบใหม่ๆ กว่า 170 รูปแบบ โดยสามารถนำออกมาใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ได้ เทียบกับในปัจจุบันที่มีการรักษา Gene Therapies ที่ได้รับอนุมัติจาก FDA แล้วเพียงแค่ 10 รูปแบบเท่านั้น โดยจากข้อมูล ณ สิ้นปี 2020 พบว่ามีการรักษาแบบ Gene Therapies กว่า 700 รูปแบบที่กำลังอยู่ในช่วงของการทดลอง ทั้งนี้ ARK คาดว่า TAM ของตลาดนวัตกรรม Cell and Gene Therapy จะสามารถเติบโตได้มากกว่า 20 เท่าตัวจากในปัจจุบัน

จะเห็นได้ว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรม Healthcare ได้เข้าสู่ยุคเปลี่ยนผ่านอย่างแท้จริงจากยุค Conventional Healthcare  ไปสู่ยุคของ Innovative Healthcare ดังนั้น ทางเลือกของนักลงทุนในการสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นในระยะยาวไปกับ Megatrend ของอุตสาหกรรมการแพทย์ จึงอยู่ที่บริษัทผู้สร้าง “นวัตกรรมการแพทย์” และไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การลงทุนในหุ้นบริษัทยาขนาดใหญ่ หุ้นผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์หรือหุ้นโรงพยาบาลอีกต่อไป