posttoday

ประชุมนโยบายการเงินของเฟดและสุนทรพจน์ของสี จิ้นผิง

25 มกราคม 2564

คอลัมมันนี่วีก (Money week) โดย...พีรพรรณ สุวรรณรัตน์, พินทุ์ณาดา กิตติวาณิชย์ สายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย

สายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทยประเมินว่าเงินบาทมีปัจจัยสนับสนุนแนวโน้มการแข็งค่าโดยประเมินกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ที่ 29.80-30.20 ตลาดการเงินยังคงติดตามแนวโน้มการติดเชื้อไวรัส และความเสี่ยงที่รัฐบาลจะเข้มงวดมาตรการปิดเมือง ประเด็นสำคัญที่ตลาดติดตามในสัปดาห์นี้ คือ การประชุมนโยบายการเงินของเฟด และแนวโน้มของนโยบายการเงินของสหรัฐฯ หลังจากที่รัฐบาลไบเดนเริ่มดำเนินงาน รวมทั้งการประกาศตัวเลขจีดีพีสหรัฐฯ เบื้องต้นในไตรมาส 4 ปัจจัยนี้อาจมีผลต่อค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศจะปรับประมาณการเศรษฐกิจโลก ด้านเอเชีย ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนมีกำหนดกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุม World Economic Forum ซึ่งอาจกล่าวถึงแนวโน้มเศรษฐกิจและการค้าของจีน ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญในเอเชีย คือ จีดีพีของเกาหลีใต้ ฮ่องกง ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน และอินเดีย

ภาพรวมตลาดอัตราแลกเปลี่ยนในสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ 29.90 – 30.20 โดยเปิดตลาดอ่อนค่าลงสอดคล้องกับความเชื่อมั่นต่อเงินดอลลาร์เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของไบเดนจะมีอุปสรรค ก่อนจะกลับมาแข็งค่าในช่วงกลางสัปดาห์เนื่องจากดอลลาร์อ่อนค่าแม้ว่า เจเน็ต เยลเลน กล่าวต่อวุฒิสภาว่าจะไม่ลดค่าเงินดอลลาร์เพื่อประโยชน์ทางการค้า และต่อต้านประเทศอื่นที่ลดค่าเงินตนเองด้วย ด้านนโยบายต่างประเทศกับจีน สหรัฐฯ จะสร้างพันธมิตรเพื่อตอบโต้จีน โดยที่จะยังคงมาตรการของทรัมป์บางส่วนไว้ และจะใช้เครื่องมือทั้งหมดที่มีเพื่อต่อต้านการกระทำที่ไม่เหมาะสมด้วย อาทิ การทุ่มตลาด ตั้งกำแพงการค้า และอุดหนุนบริษัทอย่างผิดกฎหมายเงินบาทยังเคลื่อนไหวแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องในช่วงกลางสัปดาห์สอดคล้องกับความเชื่อมั่นต่อเงินดอลลาร์ที่ปรับลดลงจากความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก จากแนวโน้มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ 1.9 ล้านล้านยูโร ด้านไบเดนออกคำสั่งฝ่ายบริหารของประธานาธิบดี (Executive order) 17 ข้อในวันแรกของการรับตำแหน่งประธานาธิบดี รวมถึงการยกเลิกคำสั่งของทรัมป์ 9 รายการ ได้แก่ การยกเลิกคำสั่งการสร้างกำแพง ยกเลิกคำสั่งห้ามเข้าประเทศที่มุ่งเป้าไปที่ผู้อพยพจากประเทศมุสลิม และสนับสนุนนโยบายเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมและความแตกต่างที่ทรัมป์ต่อต้านมาตลอด 4 ปี โดยไบเดนได้ออกคำสั่งให้สหรัฐฯ เริ่มขึ้นตอนกลับเข้าร่วมข้อตกลงสนธิสัญญาปารีสเพื่อแก้ไขปัญหาโลกร้อน และยุติขั้นตอนการออกจากองค์การอนามัยโลก

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา จีนรายงานจีดีพีในไตรมาสที่ 4 ขยายตัวต่อเนื่องสูงกว่าการขยายตัวก่อนโควิด-19 โดยขยายตัวที่ 6.5%YoY (+2.6%QoQ) เร่งขึ้นจาก +4.9%YoY ในไตรมาสก่อน และสูงกว่าตลาดคาดที่ +6.2%YoY ทั้งนี้ แม้เศรษฐกิจจีนปี 2020 ขยายตัวต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2.3% จาก 6.0% ในปี 2019 โดยเศรษฐกิจหดตัวลงไปในไตรมาสแรกของปีและสามารถกลับมาขยายตัวต่อเนื่องหลังจากนั้น ส่งสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่องกลับสู่ระดับก่อนหน้าวิกฤติ จากมาตรการสนับสนุนของภาครัฐ

สำหรับปัจจัยในประเทศ ครม. อนุมัติเงินช่วยเหลือโครงการเราชนะวงเงิน 2.1 แสนล้านบาท (1.3%ของจีดีพี) แก่คนไทยประมาณ 31.1 ล้านคนที่อายุ 18 ปีขึ้นไป ไม่ได้อยู่ในระบบราชการ รัฐวิสาหกิจ ไม่ได้ประกันตนตามมาตรา 33 และมีเงินฝากในบัญชีรวมทั้งหมดไม่เกิน 5 แสนบาท โดยจะจ่ายเป็นรายสัปดาห์เข้าแอฟพลิเคชั่นเป๋าตัง รวมเดือนละ 3,500 บาท เป็นเวลา 2 เดือน ด้านกรุงเทพอนุญาตให้ธุรกิจ 13 ประเภทเปิดทำการ อาทิ ร้านเกมส์ ร้านอินเตอร์เน็ต ร้านทำผม และฟิตเนส เนื่องจากผู้ติดเชื้อลดลงจากวันละ 50 คนในช่วงปลายปีมาที่ 10 คนต่อวัน แต่ธุรกิจบางส่วนยังคงปิด อาทิ ผับ ส่วน อย. อนุมัติใช้วัคซีนจากแอสตร้าเซนิก้าในภาวะฉุกเฉินแล้ว รอเพียงการขนส่งเพื่อเริ่มฉีดวัคซีนเดือน พ.ค.-มิ.ย.

ทั้งนี้ เงินบาทกลับมาเคลื่อไหวอ่อนค่าในช่วงก่อนปิดตลาดวันศุกร์สอดคล้องกับค่าเงินหยวน และปิดตลาดที่ 29.98 (วันศุกร์ ณ 16.00 น.)

ภาพรวมตลาดตราสารหนี้ในสัปดาห์ที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของประเทศสหรัฐฯ อายุ 10ปี เคลื่อนไหวในกรอบใกล้เคียงกับสัปดาห์ก่อนหน้า โดยประเด็นที่ตลาดให้ความสนใจคือข่าวของนายโจ ไบเดนเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอย่างเป็นทางการ ซึ่งตลาดคาดหวังว่ารัฐบาลสหรัฐภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเยียวยาชาวอเมริกันและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งทำให้ตลาดเข้าทำให้ตลาดกลับเข้าสู่โหมดเปิดรับความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของประเทศสหรัฐฯ อายุ 10ปี ปิดสัปดาห์อยู่ที่บริเวณ 1.10%

สำหรับปัจจัยภายในประเทศมีประเด็นสำคัญอยู่ที่ นายธาดา พฤฒิธาดา กรรมการผู้จัดการสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) คาดว่าปีนี้กระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติจะไหลเข้ามาในตลาดตราสารหนี้ไทยไม่มากนัก เนื่องจากส่วนต่างผลตอบแทนระหว่างพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐและพันธบัตรรัฐบาลไทยปัจจุบันค่อนข้างแคบ หรือมีส่วนชดเชยความเสี่ยงที่น้อยสำหรับนักลงทุนต่างประเทศ รวมถึงสหรัฐยังมีแผนระดมทุนผ่านการออกตราสารหนี้เพื่อนำเงินมากระตุ้นเศรษฐกิจ จึงคาดว่าผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐจะยังอยู่ในระดับที่สูง และลดแรงจูงใจนักลงทุนต่อออกมาลงทุนต่างประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลที่สมาคมตราสารหนี้ไทยรายงานว่าตั้งแต่ต้นปี 2564 จนถึงปัจจุบัน นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิพันธบัตรไทยอย่างต่อเนื่อง โดยต้นปี 2564 นี้ต่างชาติขายสุทธิไปแล้วราว 8,000 ล้านบาท ขณะที่บอนด์ยีลด์ระยะสั้นรุ่น 1 เดือน ไปจนถึง 2 ปี ปรับเพิ่มขึ้น 0.02-0.06% (2-6 bps) หลังจากที่ช่วงเดือน ธ.ค. 2563 ปรับลดลงไป 0.13-0.17% (13-14 bps) โดย ณ วันที่ 22 มกราคม 2564 2564 อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทยรุ่นอายุ 1, 2, 3, 5, 7 และ 10ปี อยู่ที่ 0.40% 0.44% 0.51% 0.70% 0.94% และ 1.29% ตามลำดับ

ประชุมนโยบายการเงินของเฟดและสุนทรพจน์ของสี จิ้นผิง

กระแสเงินทุนต่างชาติในสัปดาห์ที่ผ่านมาไหลเข้าจากตลาดตราสารหนี้ไทยรวมสุทธิประมาณ 7,236 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขายสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้น 1,149 ล้านบาท และซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว 8,385 ล้านบาท