posttoday

นักลงทุนเชื่อมั่นชัยชนะของไบเดน หนุนตลาดเอเชีย

09 พฤศจิกายน 2563

คอลัมน์มันนี่วีก (Money week) โดย...วรันธร ภู่ทอง, มนัสวิน ฐิติสมบูรณ์ สายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย

นักลงทุนเชื่อมั่นชัยชนะของไบเดน หนุนตลาดเอเชียสายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทยประเมินว่าเงินบาทผันผวนสูงต่อเนื่อง โดยอยู่ในกรอบ 30.40-30.80 นักลงทุนรอความคืบหน้าผลการนับคะแนนเลือกตั้งสหรัฐฯ จากผลคะแนนที่สูสีกันมาก อาทิ เพนซิลวาเนียและจอร์เจียทำให้เกิดความเสี่ยงการยื่นคำร้องให้นับคะแนนใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเป็นปัจจัยส่งผลให้ตลาดเคลื่อนไหวผันผวนได้ในระยะสั้น ขณะที่ การคาดการณ์ชัยชนะของนายโจ ไบเดนคาดว่าจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในเอเชีย รวมถึงค่าเงินบาทต่อเนื่อง ในด้านเศรษฐกิจจีนเครื่องชี้เศรษฐกิจทั้งอัตราเงินเฟ้อ และการปล่อยกู้คาดว่าจะยังสะท้อนแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และเป็นปัจจัยหนุนค่าเงินหยวนและเอเชียต่อเนื่อง ขณะที่ สัญญาณเศรษฐกิจในยูโรโซน และสหรัฐฯ ที่จะเริ่มเห็นผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นสูงจะส่งผลกระทบต่อค่าเงินดอลลาร์และยูโร

ภาพรวมตลาดอัตราแลกเปลี่ยนในสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทเคลื่อนไหวแข็งค่าในช่วงต้นสัปดาห์สอดคล้องกับค่าเงินสกุลเอเชียส่วนใหญ่จากการคาดการณ์แนวโน้มที่โจ ไบเดนจะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทั้งนี้ ค่าเงินเอเชียกลับมาอ่อนค่า โดยเงินวอนเกาหลี เงินดอลลาร์ไต้หวัน และบาทไทยเป็นกลุ่มอ่อนค่ามากที่สุด จากความเสี่ยงที่ผลการนับคะแนนอาจล่าช้าหลังการรยงานผลการนับคะแนนวันแรก อย่างไรก็ดี เงินบาทกลับมาเคลื่อนไหวแข็งค่าอีกครั้งในช่วงปลายสัปดาห์หลังโจ ไบเดน พลิกกลับมาชนะในหลายรัฐสำคัญ ทั้งวิสคอนซินและมิชิแกน ทำให้แนวโน้มที่ไบเดนจะชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ ทั้งนี้ ระหว่างวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ นักลงทุนต่างชาติซื้อตราสารหนี้ไทยสุทธิ 2.3 หมื่นล้านบาท กดดันให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วแตะระดับต่ำสุดตั้งแต่เดือนมกราคม 2020 โดยบาทปิดตลาดที่ 30.59 (วันศุกร์ เวลา 17.00 น.)

ภาพรวมตลาดตราสารหนี้ในสัปดาห์ที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของประเทศสหรัฐฯ มีความผันผวนอย่างมาก ซึ่งประเด็นหลักที่ขับเคลื่อนทิศทางของตลาดคือการเลือกตั้งของสหรัฐฯ โดยในช่วงต้นสัปดาห์ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีปรับตัวสูงขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 5 เดือน ที่ 0.94% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 1.75% การปรับตัวสูงขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ มาจากความคาดหวังของนักลงทุนที่คาดการณ์ว่านายโจ ไบเดนจะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ รวมไปถึงพรรคเดโมแครตมีโอกาสครองอำนาจเบ็ดเสร็จในสภาคองเกรส อันจะนำมาซึ่งความหวังในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในวงเงินที่สูง นั่นหมายถึงการที่รัฐบาลจะต้องระดมทุนผ่านตลาดพันธบัตรรัฐบาลมากขึ้นและความหวังว่าอัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยกดดันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลให้ปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตามภายหลังจากที่ภาพผลการเลือกตั้งเริ่มชัดเจนขึ้น ปรากฏว่าอาจไม่มีพรรคใดครองอำนาจเบ็ดเสร็จในสภาคองเกรส โดยพรรครีพับลิกันมีแนวโน้มที่จะยังคงครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา ส่งผลให้แรงกดดันต่อตลาดตราสารหนี้ลดน้อยลงและนักลงทุนหันกลับมาซื้อพันธบัตรรัฐบาล ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว โดยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีอยู่ที่บริเวณ 0.77% ณ เวลา 16.00น. ของวันที่ 6 พ.ย. 63 หรือคิดเป็นการปรับตัวลดลงเกือบ 20 bps จากจุดสูงสุดของสัปดาห์ ทั้งนี้ผลการเลือกตั้งของสหรัฐฯยังคงมีไม่แน่นอนอยู่และนักลงทุนคงต้องเฝ้าติดตามอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะมีการประกาศผลออกมาอย่างเป็นทางการ ขณะที่อีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาคือการประชุม FOMC ในวันที่ 4-5 พ.ย. 63 ซึ่งเฟดมีมติคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0-0.25% เช่นเดิม รวมไปถึงคงขนาดมาตรการซื้อสินทรัพย์ ทั้งนี้คณะกรรมการยังคงกังวลความไม่แน่นอนของการระบาดของไวรัสที่จะส่งผลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะกลางและคาดว่าเศรษฐกิจไตรมาส 4 จะขยายตัวต่ำกว่าไตรมาส

นักลงทุนเชื่อมั่นชัยชนะของไบเดน หนุนตลาดเอเชีย

ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับตัวลดลง ซึ่งเป็นการปรับโดยที่เส้นอัตราผลตอบแทนมีความชันลดลง ทั้งนี้เราเห็นกระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดพันธบัตรรัฐบาลไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยสาเหตุคาดว่ามาจากการเกร็งกำไรค่าเงินในแถบภูมิภาคเอเชีย ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะได้รับประโยชน์หากนายโจ ไบเดนได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ และจะดึงดูดเม็ดเงินให้ไหลเข้าสู่ตลาดเอเชีย โดยกระแสเงินทุนต่างชาติในสัปดาห์ที่ผ่านมาไหลเข้าสู่ตลาดตราสารหนี้ไทยรวมมูลค่าสุทธิประมาณ 25,867 ล้านบาท ซึ่งเป็นการซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้น 16,230 ล้านบาท ซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว 10,487 ล้านบาท และมีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ 850 ล้านบาท ขณะที่ ณ วันที่ 6 พฤศจิกายน 2563 อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทยรุ่นอายุ 1, 2, 3, 5, 7 และ 10ปี อยู่ที่ 0.52% 0.59% 0.67% 0.87% 1.11% และ 1.39% ตามลำดับ