posttoday

หุ้นนอกตลาด เมื่อวิกฤตคือโอกาส (ตอนที่ 2)

25 พฤษภาคม 2563

คอลัมน์ รู้รอบโลก รู้รอบรวย โดย ดร.ตรีพล ภูมิวสนะ Private Banking Business Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย

ต่อจากตอนที่แล้ว ที่เราได้ทำความรู้จักว่า “หุ้นนอกตลาด หรือ Private equity” คืออะไร ในตอนนี้ จะเป็นการแนะนำกองทุนหุ้นนอกตลาดที่ทาง KBank Private Banking มองว่ามีความน่าสนใจในการลงทุนในช่วงเวลานี้ ก็คือ “กองทุนเปิด K Global Tech PE 20A UI” ที่จะเน้นกระจายการลงทุนในหุ้นนอกตลาดของบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีทั่วโลก ทั้งสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย และบริหารกองทุนหลักโดย Lombard Odier Investment Managers

หากจะพูดถึงคำว่า “เทคโนโลยี” คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นสิ่งที่มีบทบาทในชีวิตของคนเรามากขึ้น จนแทบขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวัน ในแต่ละวันล้วนต้องใช้และพึ่งพาเทคโนโลยีตลอดเวลา ที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ เทคโนโลยีในโทรศัพท์มือถือซึ่งนอกเหนือจากการเป็นเครื่องมือสื่อสารแล้ว ยังรวมเอากิจกรรมหลายๆ อย่างในชีวิตของเรามารวมกัน ไม่ว่าจะเป็นการฟังเพลง เล่นเกมส์ ท่องอินเทอร์เน็ต ดูทีวี ถ่ายรูป ทำงาน ก็สามารถทำได้ผ่านโทรศัพท์มือถือเพียงเครื่องเดียว และในช่วงเวลาที่โลกประสบกับปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 จนทำให้หลายประเทศต้องปิดประเทศ ผ่านมาตรการล็อกดาวน์ก็ทำให้การใช้ชีวิตประจำวันต้องเปลี่ยนรูปแบบไปในเวลาอันรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็น การทำงาน ประชุม สั่งอาหาร เรียนหนังสือ จ่ายบิลค่าสาธารณูปโภค ล้วนต้องทำผ่านระบบออนไลน์ทั้งหมด การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ได้เร่งรัดให้ผู้คนพึ่งพาเทคโนโลยีที่เพิ่มมากขึ้นอย่างก้าวกระโดดเลยทีเดียว

ทุกวันนี้การระดมทุนนอกตลาดในหลากหลายกลุ่มธุรกิจ แต่บริษัทในกลุ่มเทคโนโลยี ถือเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนการระดมทุนผ่าน Private equity อยู่ในระดับต้นๆ เนื่องจากการะดมทุนนอกตลาดช่วยทำให้บริษัทสามารถขยายได้อย่างรวดเร็วในขณะที่คู่แข่งอาจปรับตัวไม่ทัน สำหรับบริษัทเทคโนโลยีที่มีชื่อเสียงในปัจจุบันที่ต่างก็เคยผ่านการระดมทุนนอกตลาดมาแล้ว เช่น Facebook ซึ่งมีการระดมทุนนอกตลาดมานานถึง 8 ปี ก่อนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อปี 2012 เช่นเดียวกับ Twitter, Uber, และ Airbnb ที่ต่างก็เคยเป็นหุ้นนอกตลาดมาก่อนทั้งสิ้น

สำหรับกองทุนเปิด K Global Tech PE 20A ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย กำลังจะเสนอขายเร็วๆ นี้ เน้นการลงทุนในกิจการกลุ่มเทคโนโลยีที่มั่นคง มีกระแสเงินสดสม่ำเสมอและมีอัตราการเติบโตที่รวดเร็ว แม้ว่ากองทุนลักษณะนี้ มีความเสี่ยงที่มากกว่าหุ้นในตลาด และห้ามขายนักลงทุนรายย่อย การดีไซน์ผลิตภัณฑ์นี้ได้คำนึงถึงการบริหารจัดการความเสี่ยงและปิดข้อด้อยต่างๆ ของการลงทุนลักษณะนี้ตรงในต่างประเทศ เช่น 1. จัดให้มีการกระจายความเสี่ยงมากกว่ากองทุนหุ้นนอกตลาดที่ขายกันอยู่ในต่างประเทศโดย 70% จะเป็นการลงทุนโดยตรงในบริษัทนอกตลาด (Co-investment) เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนสูง และอีก 30% จะเป็นการลงทุนผ่านการซื้อหุ้นนอกตลาดมือสองที่มีราคาดี Secondary Private Equity Fund เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง 2. อายุโครงการของกองทุนไม่เกิน 9 ปี ซึ่งถือว่าสั้นกว่ากองทุนหุ้นนอกตลาดทั่วไปที่อายุยาวถึง 10 ปีขึ้นไป 3. กองทุนนี้เป็นการระดมทุนเพียงครั้งเดียว ซึ่งจะไม่ยุ่งยากเหมือนกองอื่นที่มีการเรียกเงินทุนหลายครั้งและไม่มีกำหนดเวลาที่แน่นอน 4. กองทุนนี้จะมีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้นักลงทุนไม่ต้องกังวลความถึงความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และ 5. ใช้เงินลงทุนขั้นต่ำแค่เพียง 1 ล้านบาท ซึ่งถือว่าต่ำมากหากเทียบกับการไปลงทุนเองโดยตรงที่ต้องการเงินทุนเริ่มต้นที่สูงกว่านี้ค่อนข้างมาก

ทาง KBank Private Banking มองว่าด้วยสถานะการณ์ปัจจุบันการกระจายความเสี่ยงไปลงในสินทรัพย์ทางเลือกลักษณะนี้ เป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมเพราะ 1. ดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่ต่ำมากทั้วโลก และจะทำให้เจ้าของกิจการที่มีการเจริญเติบโตสูง เช่นในอุตสาหกรรมที่ต้องใช้เทคโนโลยีได้เปรียบ 2. หุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังคงจะเป็นอนาคตของการลงทุนอีกหลายสิบปี และ 3. นักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงลงทุนสินทรัพย์ทางเลือกแบบนี้น้อยมาก การเพิ่มการลงทุนได้รับประโยชน์จากการกระจายความเสี่ยงจากสินทรัพย์เดิมๆ ที่มีอยู่ได้มากขึ้นด้วย