posttoday

สิทธา สภานุชาติ พระเอกละครรุ่นใหม่ที่น่าจับตา

08 พฤศจิกายน 2560

เอี๊ยง-สิทธา สภานุชาติ นักแสดงหนุ่มวัย 27 ปี ที่กำลังมีผลงานละครทางช่อง 8 ดิจิทัลทีวีอย่างต่อเนื่อง


เอี๊ยง-สิทธา สภานุชาติ นักแสดงหนุ่มวัย 27 ปี ที่กำลังมีผลงานละครทางช่อง 8 ดิจิทัลทีวีอย่างต่อเนื่อง นอกจากใบหน้าหล่อๆ และหุ่นเฟิร์มๆ แล้ว เอี๊ยงยังเป็นพระเอกละครรุ่นใหม่ที่มีความสามารถโดดเด่นไม่แพ้ใคร เราลองไปพูดคุยอัพเดทผลงานจากปากเอี๊ยงกันเลยดีกว่า

“ผมก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงโดยเข้ามาเป็นนักร้องที่บริษัทอาร์เอสฯ ตั้งแต่อายุ 17 ปี โดยเข้าไปเป็นศิลปินฝึกหัดก่อน ช่วงนั้นฝึกอยู่เป็นปีผมก็รู้สึกว่า ทำไมเรายังไม่ได้ออกซิงเกิ้ลสักทีนะ ผมจึงเกเรโดยหายหน้าไป 3-4 เดือน จนผู้ใหญ่เกือบจะตัดหางปล่อยวัดแล้ว แต่สักพักหนึ่งทางค่ายก็เรียกให้มาทำซิงเกิ้ลโดยใช้ชื่อวงว่า ‘รูกกี้ บีบี’ (Rookie BB) ในปี 2553 จากนั้นพอทำเพลงได้ 6 ซิงเกิ้ลก็ได้ยุบวงไป

ช่วงนั้นเป็นจังหวะที่อาร์เอสมีการเปิดช่อง 8 ทีวีดาวเทียมขึ้นพอดี ผมจึงมีโอกาสได้ชิมลางลองเล่นละครโดยรับบทเป็นตัวประกอบก่อน บอกเลยว่าทักษะการแสดงในตอนนั้นผมไม่มีเลยนะ แถมยังต้องเข้าฉากครั้งแรกกับ พิ้งกี้-สาวิกา ไชยเดช ในเรื่อง ‘กากับหงส์’ ซึ่งผมเล่นได้แข็งมากจนไม่กล้าดูตัวเองในทีวีเลยละ (หัวเราะ) ต่อมาผมจึงได้เข้าคอร์สเรียนแอ็กติ้งที่อาร์เอสฯ ซึ่งก็จะมีครูมาคอยสอนการแสดงให้ ผมจึงเริ่มพัฒนาทักษะการแสดงมาเรื่อยๆ ตั้งแต่นั้น”

เอี๊ยงเล่าว่า วันหนึ่งเมื่อโอกาสมาถึง ผู้ใหญ่ทางช่องก็เรียกเขาเข้าไปแคสติ้งละครเรื่อง ‘ชิงรักหักสวาท’ ซึ่งถือเป็นละครเรื่องแรกที่เขาได้รับบทพระเอกเต็มตัว

 

สิทธา สภานุชาติ พระเอกละครรุ่นใหม่ที่น่าจับตา

 

“เรื่อง ชิงรักหักสวาท เป็นละครแนวพีเรียด-ดราม่า ที่ผมประกบคู่กับ ขนมจีน-กุลมาศ ลิมปวุฒิวรานนท์ ซึ่งรับบทนางเอกของเรื่อง สำหรับผมแล้วละครเรื่องนี้ถือว่าประสบความสำเร็จพอสมควรในสายตาตัวเอง เพราะคนดูรู้จักหน้าและจำผมได้จากละครเรื่องนี้ แม้ช่วงแรกอาจจะจำชื่อผมไม่ได้เป๊ะๆ แต่คนก็จะทักทายเสมอว่าผมเล่นละครเรื่องนี้ใช่มั้ยอยู่ตลอด

ละครเรื่องต่อมาของผมก็คือ ‘ลิเกหมัดสั่ง’ เป็นละครแนวคอมเมดี้ที่สนุกสนาน ผมรับบทเป็นพระเอกลิเกตกอับที่ต้องมาต่อยมวยเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว ตอนเข้าฉากก็มีพี่ๆ นักแสดงตลกหลายคนมาร่วมแสดงด้วย ผมจึงได้เรียนรู้ทักษะในการแสดงและเรียนรู้การรับส่งมุขที่ทำให้คนดูเกิดอารมณ์ขันจากพี่ๆ ตลกมาได้พอสมควรเลย”

ละครเรื่องต่อมาของเอี๊ยงคือ ‘ดอกซ่อนชู้’ ซึ่งเป็นแนวพีเรียด-ดราม่าอีก ที่มีเค้าโครงเรื่องราวเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 และรัชกาลที่ 7 ซะส่วนใหญ่ เรื่องนี้เขารับบทเป็นคุณหมอหนุ่มสุดหล่อในสมัยนั้น ซึ่งเป็นตัวหลักในการดำเนินเรื่องเลย เรียกได้ว่าเป็นละครที่เรตติ้งดีที่สุดของช่อง 8 ในขณะนั้นเลยก็ว่าได้

“สำหรับละครที่ผมได้แสดงมาและชอบที่สุดก็คือเรื่อง ‘สุดแต่ใจจะไขว่คว้า’ ซึ่งเป็นบทประพันธ์ของโบตั๋น ผมคุ้นชื่อและเคยดูละครเรื่องนี้มาบ้างตอนเด็กๆ และเคยดูย้อนหลังในสมัยที่พี่หนุ่มเสก-เสกสรร ชัยเจริญ แสดงมาบ้าง แรกๆ ก็รู้สึกกดดันนะ แต่พอเล่นไปแล้วก็เริ่มอินกับบทและชอบมาก ถึงแม้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวละครจะไม่ได้เกิดขึ้นกับชีวิตผมโดยตรง แต่ผมก็เคยผ่านหูผ่านตาเรื่องราวของชีวิตคนแบบในละครมาบ้าง จึงสามารถเล่นได้ แล้วยังนำข้อคิดจากละครมาสอนใจตัวเองได้อีกด้วย

เรื่องต่อมาคือ ‘บ่วงรักสลักแค้น’ เป็นละครแนวโรแมนติก-ดราม่าที่ผมมีโอกาสได้แสดงอีกเรื่องหนึ่ง เนื้อเรื่องจะเป็นยุคปัจจุบัน บอกเลยว่าช่วงนั้นผมมีงานละครถี่ยิบจนคนเริ่มทักว่า ผมเป็นเหมือนพระเอกประจำช่อง 8 หรือกลายเป็นมาสคอตประจำช่องไปแล้ว (ยิ้ม)

ล่าสุดผมก็กำลังถ่ายละครเรื่อง ‘พยัคฆา’ อยู่ เป็นละครแนวดราม่า-แอ็กชั่น-แฟนตาซี ซึ่งมีการแปลงร่างที่ผมไม่เคยเล่นมาก่อนเลย แรกๆ ก็รู้สึกประหม่ามาก เพราะคิดว่าบทมันใหญ่เกินตัวไปหน่อย ต้องมีแอ็กชั่นจริงจัง มีฉากที่แปลงร่างซึ่งต้องฉีกเสื้อให้ขาดคล้ายกับเดอะฮัลค์ หรือวูล์ฟเวอรีนเลยละ (หัวเราะ) ทำให้ผมต้องขยันเข้ายิมฟิตหุ่นกับกล้ามให้ชัดขึ้น เรื่องนี้ผมเล่นกันนางเอกใหม่ชื่อ นนนี่-ณัฐชา เจกะ ตอนนี้ก็กำลังถ่ายทำอยู่ มีทั้งฉากที่ต้องบู๊ ต้องขึ้นสลิง แถมมีสเปเชียลเอฟเฟกต์ ถือว่าเป็นสิ่งที่ท้าทายมากครับ”

เอี๊ยงบอกว่า ละคร "พยัคฆา" เป็นละครหลังข่าวที่จะออกอากาศในช่วงต้นปี 2561 ที่จะถึงนี้ พูดได้ว่าตอนนี้เขาได้รับมอบหมายจากผู้ใหญ่ให้รับบทบาทพระเอกละครทุกๆ แนวของช่อง 8 เลยก็ว่าได้ แม้แต่งานอีเวนต์เปิดตัวซีรี่ส์อินเดียเรื่อง ‘หนุมาน สงครามมหาเทพ’ เขายังได้รับมอบหมายให้แต่งตัวเป็นหนุมานกล้ามล่ำในงานแถลงข่าวจนสาวๆ กรี๊ดสลบมาแล้ว

 

สิทธา สภานุชาติ พระเอกละครรุ่นใหม่ที่น่าจับตา

 

“ด้วยความที่ช่อง 8 เป็นช่องที่กำลังบุกเบิกละครในยุคดิจิทัลอยู่ในขณะนี้ การที่ผมได้ออกหน้าจอบ่อยๆ ผมว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆ เพราะคนดูจะได้จดจำผมได้ ตอนนี้ผมก็เพิ่งอายุ 27 ปี ผมว่าตัวเองยังมีเวลาเก็บเกี่ยวประสบการณ์อีกเยอะเลย ในอนาคตก็คิดว่าน่าจะรับงานละครต่อไปเรื่อยๆ เพราะเป็นสิ่งที่ทำแล้วรู้สึกแฮปปี้ แม้ผมจะเรียนจบทางด้านพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่เมื่อจบมาก็ยังไม่เคยทำงานออฟฟิศเหมือนกับเพื่อนๆ รุ่นเดียวกันเลย ผมจึงขอรับงานแสดงละครที่ตัวเองถนัดต่อไปเรื่อยๆ ก่อนดีกว่า แต่อาจจะคิดทำธุรกิจอื่นๆ ควบคู่กับการรับงานละครไปด้วย แต่ต้องรอให้พร้อมกับการทำธุรกิจที่เราชอบด้วยครับ

ที่ผ่านมาผมได้ทำงานในวงการบันเทิงมาเกือบทุกบทบาทแล้วนะ แต่สิ่งที่ไม่ถนัดหรือไม่ค่อยชอบเลยจริงๆ ก็คือการเดินแบบ เพราะรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองเท่าไร คือผมเคยเดินในงานแฟชั่นวีกซึ่งเป็นงานใหญ่แล้วเลี้ยวผิดข้าง ก็เลยจำฝังใจมาตั้งแต่นั้น (หัวเราะ) แต่ถ้าเป็นงานถ่ายภาพนิ่งหรือถ่ายแบบทั่วไปก็น่าจะได้อยู่ ผมมีหลักประจำใจในการทำงานว่า ‘เวลาทำงานอะไร ถ้าคิดว่าตัวเองทำอย่างเต็มที่แล้ว ผลจะออกมาเป็นอย่างไรก็ช่างมัน’ อย่างการเล่นละคร เวลาแสดงผมจะใส่ไปเต็มร้อยเลย เพราะผมเชื่อมั่นว่า ถ้าเราทำเต็มที่ ทำดีที่สุดแล้ว ตัวเราก็จะอยู่ได้และไม่ตายไปจากวงการนี้แน่นอน แฟนๆ สามารถติดตามได้ที่ IG : iangsss ครับ”

เอี๊ยงบอกว่า เวลาที่เขาไปออกงานที่ต่างจังหวัด ช่วงหลังๆ จะมีคนเข้ามาทักทายถามไถ่กันเยอะมาก ว่าเขาหายหน้าหายตาไปเป็นทหารมาใช่มั้ย ซึ่งเป็นเรื่องน่าดีใจมากๆ ที่มีแฟนๆ ช่อง 8 รู้จักและจำเขาได้จากข่าวที่ไปสมัครเป็นทหารเกณฑ์

“ผมขอเล่าประสบการณ์ในการเป็นทหารเกณฑ์ในค่ายเป็นเวลา 6 เดือนให้ฟังสักนิดนึง อย่างที่หลายคนทราบดีว่าผมตั้งใจไปสมัครเป็นทหารเกณฑ์ด้วยตัวเองเลย ซึ่งก่อนจะเข้าค่ายฝึกผมก็มีการเตรียมตัวมาดีพอสมควร แต่พอได้เข้าไปอยู่ในค่ายจริงๆ ผมว่ามันหนักหนากว่าที่ผมคิดไว้มากนัก เพราะต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 ตี 5 มาฝึกวิ่งฝึกระเบียบแถวทุกวัน

ด้วยความที่เราเป็นพลเรือนนอกค่าย เป็นนักร้อง เป็นดารามาก่อน ซึ่งล้วนแล้วแต่มีคนมาคอยเอาใจและเทคแคร์เป็นอย่างดี แต่เมื่อเข้าไปอยู่ในค่ายทหาร ผมก็คือคนธรรมดาคนหนึ่ง เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีศักดิ์ศรีเท่าๆ กับคนอื่น ต้องฝึกแบบเดียวกัน กินนอนแบบเดียวกัน ซึ่งผมว่ามันช่วยลดอัตตาหรือความยึดติดในตัวตนของผมที่เคยถูกคนเอาใจลงไปได้เยอะเลยครับ

เมื่อก่อนผมมีนิสัยใจร้อน รอนานไม่ได้ ซึ่งนิสัยไม่ดีเหล่านี้จะออกมาโดยไม่รู้ตัวเมื่อเราเป็นศิลปิน แต่พอได้เข้าไปฝึกในค่ายทหาร ทำให้ผมได้เรียนรู้และเริ่มปรับเปลี่ยนตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งการไปเป็นทหารเกณฑ์นี้ช่วยสอนอะไรในชีวิตให้ผมเยอะมาก สอนให้อดทน มีระเบียบวินัย สามารถอยู่ร่วมกับคนหมู่มากได้ และยังช่วยสร้างความสามัคคีในหมู่คณะ ซึ่งผมมักจะได้รับมอบหมายให้เป็นคนนำออกกำลังกายบ้าง นำรวมพลบ้าง นอกจากนี้ยังช่วยประชาสัมพันธ์ให้กับกรมทหารด้วยครับ เรียกว่าระยะเวลา 6 เดือนที่อยู่ในค่ายทหาร มันสอนให้ผมเป็น เอี๊ยง-สิทธา คนใหม่ที่ดีกว่าเดิม” พระเอกหนุ่มหล่อทิ้งท้าย