posttoday

ฝันให้ไกลแล้วไปให้ถึง รรินทร์ ทองมา

21 กันยายน 2560

นักสร้างแบรนด์สาวสวย ต้า-รรินทร์ ทองมา ทำในสิ่งที่รักเและเรียนด้านแฟชั่น ประสบความสำเร็จมากภายในระยะเวลาเพียง 3 ปี

 

เป็นที่รู้จักดีสำหรับแบรนด์กระเป๋าและรองเท้า โอ แอนด์ บี (O&B) ของนักสร้างแบรนด์สาวสวย ต้า-รรินทร์ ทองมา ที่ทำในสิ่งที่รักเและเรียนด้านแฟชั่นมา โดยประสบความสำเร็จมากภายในระยะเวลาเพียง 3 ปี สามารถสร้างรายได้หลัก 100 ล้านบาท 

หญิงสาวรูปร่างบอบบางดีกรีจบปริญญาตรีด้านโปรดักต์ดีไซน์จากรั้วศิลปากร ปริญญาโทด้านแฟชั่นมาร์เก็ตติ้งจากมิลาน อิตาลี โจทย์ง่ายๆ ของการเริ่มต้นทำธุรกิจ มาจากความฝันของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คือ อยากมีแบรนด์รองเท้าและกระเป๋า ทั้งๆ ที่ไม่มีพื้นฐานการทำธุรกิจมาเลย แต่เธอก็ใจสู้เรียนรู้จากประสบการณ์จนสร้างสรรค์แบรนด์ โอ แอนด์ บี ที่เป็นที่รู้จักทางโลกโซเชียล และสร้างแบรนด์ให้ก้าวสู่การเป็นอินเตอร์มากขึ้นด้วยการเชื้อเชิญแฟชั่นไอคอนและบล็อกเกอร์ระดับโลก ฮอมมี่ ซองค์ ชาวเกาหลีที่ไปเติบโตที่สหรัฐ ซึ่งโด่งดังมากๆ มาทำงานร่วมกันกับแบรนด์

 

ฝันให้ไกลแล้วไปให้ถึง รรินทร์ ทองมา

 

“ฮอมมี่ ซองค์เป็นแฟชั่นไอคอนที่โด่งดังมากๆ ทั้งในเกาหลี ยุโรปและอเมริกา เขาดังติดอันดับบล็อกเกอร์ท็อป 3 ของโลก กว่าเขาจะร่วมงานกับ โอ แอนด์ บี เขาดูทั้งอิมเมจแบรนด์ซึ่งเราได้คุณภาพในระดับโลก สองคือเขาดูที่คุณภาพสินค้าของเรา ฮอมมี่ดังขนาดที่แบรนด์ดังระดับโลกอย่างหลุยส์ วิตตอง ส่งของให้ใช้ตลอด แบรนด์ลอร่า แมร์ซิเยร์ ใช้เขาเป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ ซึ่งฮอมมี่ ซองค์จะเป็นตัวแทนของแบรนด์ โอ แอนด์ บี เซ็นสัญญาตั้งแต่ เม.ย.ที่ผ่านมายาวหนึ่งปี คือไดเรกชั่นของต้าอยากโกอินเตอร์มากขึ้น ซึ่งเราทำได้และเป็นไปตามความตั้งใจ เราต้องเป็นคนคิดใหญ่ และผลักดันให้ถึงที่สุด

สำหรับการสร้างแบรนด์ในระยะเริ่มต้น ที่เต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย แต่รรินทร์ก็ก้าวผ่านอย่างสวยงาม

“พื้นฐานที่บ้านต้าไม่มีใครทำธุรกิจเลย คุณพ่อทำงานรัฐวิสาหกิจ แต่ต้าเจนวายคืออยากเป็นนายตัวเอง ตอนเริ่มแรกที่ทำแบรนด์ ต้าสู้พอควร เพราะไม่มีประสบการณ์ และไม่รู้เรื่องธุรกิจเลย แต่ไฟแรงตอนกลับมาจากเมืองนอกอายุ 26 ปี

ที่ต้ามองว่าอยากทำกระเป๋ากับรองเท้า เพราะต้ารู้สึกผูกพัน อิตาลีเป็นเมืองแห่งเครื่องประดับ ต้าชอบมองว่าคนใช้กระเป๋ากับรองเท้าแบรนด์อะไร ซึ่งก่อนไปเรียนที่อิตาลี ต้าเคยทำงานที่คิง เพาเวอร์ แผนกวิชั่นเมอร์ชั่นไดเซอร์ ดูแบรนด์ลักซ์ชัวรี่ทั้งหมด หน้าที่ของต้าคือดูสินค้าจัดดิสเพลย์ร้าน ทุกวันต้าอยู่กับกระเป๋ารองเท้าสินค้าลักซ์ชัวรี่ ได้จับต้องสินค้าดีๆ ต้าทำที่นั่น 3 ปี ทำให้ต้าเห็นว่าแบรนด์ยุโรปเขาทำกระเป๋ากับรองเท้าแบบไหน มันซึมเข้าไปอย่างไม่รู้ตัว”

ย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีก่อน ธรุกิจกระเป๋าบูมมาก “พอเรียนจบกลับมา กลับไปทำเสื้อผ้าเด็ก ทั้งๆ ที่ไม่ได้ศึกษาอะไรเลย คิดแค่ฉันเก่งฉันต้องทำได้ ทำให้เจ๊งหลักแสนบาท ซึ่งเงินก้อนแรกยืมคุณแม่มา 2 แสนบาท แต่ก็ฮึดสู้ใหม่ด้วยเงิน 9 หมื่นบาท วางแผนไว้ 3 เดือนแรกถ้าไม่เวิร์กอีกก็จบกัน

ด้วยเงินที่น้อยต้ากับเพื่อนเลยตัดสินใจทำแบรนด์กระเป๋าจำหน่ายผ่านทางออนไลน์ ซึ่งยุคนั้นค้าขายออนไลน์ยังไม่บูม เพื่อนก็ทักว่าจะเวิร์กเหรอ ต้าบอกเพื่อนว่าแล้วฉันจะทำให้ดู เพราะเมืองนอกช็อปปิ้งออนไลน์ถือเป็นเรื่องปกติ ยุคนั้นเหมือนต้าเป็นคนแรกที่กระโจนลงบ่อเงินบ่อทอง เรามองเห็นก่อนเราขุดทองเจอก่อน และต้าไม่มีคู่แข่ง ปรากฏว่าขายได้

 

ฝันให้ไกลแล้วไปให้ถึง รรินทร์ ทองมา

 

ที่ต้ามองไปที่ธุรกิจกระเป๋าต่อจากเสื้อผ้าเด็ก เพราะกระเป๋าไม่มีไซส์เหมือนรองเท้า ด้วยยอดขายเดือนแรกทำให้หัวใจเธอพองฟู คือขายได้ 5 หมื่นบาท เดือนที่ 2 มีรายได้หลัก 2 แสนบาท ปีแรกทำรายได้เฉลี่ย 3-4 แสนบาท/เดือน แต่พอหักรายรับรายจ่ายแล้วเหลือแค่ 4,000 บาทเท่านั้น เป็นเพราะเธอไม่เคยทำธุรกิจมาก่อนเลย หนึ่งอาจมาจากต้นทุนที่สูงเกินไป และไม่มีเงินเอาไว้หมุนเวียนภายในร้าน หรือเก็บเงินเพื่อการลงทุนต่อ จนเกิดวิกฤตในใจจึงเข้าคอร์สเรียนเปลี่ยนวิธีคิด ระบบการจัดการทั้งหมด และการขยายขนาดใจ เราต้องเชื่อมั่นว่าเราทำธุรกิจหลักร้อยล้านได้ เราต้องให้กำลังใจตัวเองว่า ฉันทำได้ๆ เปลี่ยนวิธีคิดภายใต้จิตสำนึก

จากนั้นต้ามีการจัดการระบบบัญชีใหม่ คนที่ทำธุรกิจไม่สำเร็จเพราะตื่นเช้ามาก็ตั้งคำถามว่าวันนี้สินค้าเราจะขายออกไหม เหมือนเราใช้แพตเทิร์นที่พร้อมล้มเหลวอยู่ตลอดเวลา แค่คิดก็ผิดแล้ว หรือถ้าเราเพิ่มสต๊อกสินค้าแฟชั่น ใครจะมาซื้อของของเรา เขาไม่สนใจแบรนด์เราหรอก แต่ถ้าแค่เปลี่ยนความคิด มันน่าจะเป็นไปได้ คนประสบความสำเร็จต้องคิดใหญ่ และไม่กลัวล้มเหลว เพราะเขาจะทำแต่ละก้าวให้ถึงเป้าหมาย ตื่นขึ้นมาเราต้องให้กำลังใจตัวเอง”

ผ่านมา 5 ปีแล้ว โอ แอนด์ บี จัดเป็นแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จมาก โดยเฉพาะรองเท้าตัดเย็บจากหนังแกะที่ต้าออกแบบเอง มีให้เลือกมากกว่า 50 สี ได้รับเสียงตอบรับจากแฟนๆ ดีมาก

“ตอนนี้ยอดขายทั้งหมดมีประมาณ 200 ล้านบาท ตอนนี้ต้าเป็นเจ้าของแบรนด์คนเดียว ต้ามักบอกทุกคนเสมอว่า เงินไม่ใช่ปัญหาของการทำธุรกิจ เพราะต้าก็เริ่มจากเงินเพียง 9 หมื่นบาท ต้ามองว่าของจะขายได้หรือไม่ได้ เราต้องเชื่อก่อนว่า ของเราต้องขายได้ และคนจะรักมัน สินค้าของเรามีคุณค่า เราอยากส่งของดีให้ลูกค้า ซึ่งลูกค้าเป็นคนเซนซิทีฟมาก โดยเฉพาะผู้หญิง

 

ฝันให้ไกลแล้วไปให้ถึง รรินทร์ ทองมา

 

พอเรารักสินค้า ลูกค้าจะรักสินค้า แต่เราต้องรักในตัวลูกค้าด้วย และต้ามีกฎข้อหนึ่งคือ ของที่เขาได้กลับไปต้องมีมูลค่ามากกว่าเงินที่เขาจ่าย เราเลยโตเร็ว เราทำทุกวิธีทางที่ทำให้สินค้าและบริการดีขึ้นตลอดเวลา ต่อให้ทุกวันนี้คนก๊อบปี้รองเท้าของเรา แต่ของของเราให้ความรู้สึกให้ลูกค้าไม่เหมือนกัน เพราะแฟชั่นเป็นของที่เหนือฟังก์ชั่น พอเป็นแฟชั่นไม่มีใครมีรองเท้าคู่เดียว”

การผลิตสินค้าทุกชิ้นต้องมีสตอรี่ที่ดี ผู้ประกอบการที่ดีจะขายสินค้าได้ดี และต้องเป็นผู้นำที่ดีด้านคุณธรรม ช่องทางการกระจายสินค้า 5 ปีผ่านไปนอกจากจำหน่ายผ่านออนไลน์แล้ว เธอยังมีหน้าร้านอยู่ในซอยพหลโยธิน 5 ซึ่งลูกค้าแวะเวียนมาไม่ขาด

“ตลาดออนไลน์ใหญ่มากนะคะ และเป็นตลาดที่ไม่ต้องแย่งกัน มันคือตลาดทั่วโลก และตลาดออนไลน์ไม่มีวันเต็ม มีมูลค่ามหาศาล จะขายอะไรก็ได้ ซึ่งเราอย่าทำอะไรไกลตัว เราต้องรู้จักสินค้านั้นดีที่สุด เช่น รองเท้าบัลเลต์ต้าชอบมาก ใส่ตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือ แต่ต้าวางแผนว่าในอนาคตต้าอยากมีช็อปที่สหรัฐ

ตอนนี้ต้ากำลังขยายตลาดไปทำเสื้อผ้า อยากทำเสื้อผ้าที่มีลุคเรียบง่าย เน้นคัตติ้งเก๋ๆ มีความคล่องตัวคล้ายสปอร์ตแวร์ ซึ่งผู้ใหญ่ไทยแต่งตัวเก่ง เลือกของเก่งคือรสนิยมดี รู้จักเลือกแต่งให้เหมาะกับตัวเอง คนไทยชอบแต่งตัวดีแล้วดูแพง ชอบอะไรคล่องแคล่ว แต่ยังคงความเป็นผู้หญิงนิดๆ มีความอ่อนหวานอย่างสาวเอเชีย แต่งออกมาแล้ว เขาต้องดูแพง อันนี้ก็เป็นคีย์ซัคเซสของแบรนด์ โอ แอนด์ บี เลยนะคะ เช่น กระเป๋าหลักพันแต่หน้าตาต้องเหมือนใบละหมื่น รวมทั้งเซอร์วิสต้องหลักหมื่น ของต้องดูสวยดูดี ลูกค้าต้าส่วนใหญ่เขาซื้อไปใส่กับของแบรนด์เนมนะคะ เป็นการมิกซ์แอนด์แมตช์ได้ดี ฉะนั้นเราเข้าไปอยู่กับแบรนด์ระดับโลกได้”

สุดท้ายต้ามีคำแนะนำน้องๆ ที่อยากสร้างแบรนด์ของตัวเองแต่ยังกล้าๆ กลัวๆ ในการเริ่มต้น ซึ่งหลักง่ายๆ ที่ต้าอยากบอกก็คือ อย่าดราม่า

“ลองดูหัวใจของคนที่ประสบความสำเร็จหลายๆ คน ไม่ใช่ทุกคนเก่งตั้งแต่เกิด แต่ไม่มีใครย่อท้อ เราต้องยอมรับว่า การจะทำอะไรสักอย่าง เก่งไม่กลัว กลัวไม่อึด การทำอะไรไปถึงเป้าหมาย ย่อมพบเจออุปสรรคเป็นธรรมดา แต่ใครจะอดทนก้าวข้ามอุปสรรคได้ดีกว่ากัน คำถามที่ต้าเจอทำยังไงให้รวย คนที่ประสบความสำเร็จคือเขาจะถามปัญหาคือ หนูจะแก้อย่างไร แต่อีกคนถามว่าหนูจะรวยได้ไง กับอีกคนบอกว่า หนูท้อมากหนูไม่ไหวคนนี้ก็จะไม่ประสบความสำเร็จ หรือคนที่บอกว่าฉันเหนื่อย พอคนคิดแบบนี้จะไม่ประสบความสำเร็จ

คนที่จะประสบความสำเร็จได้ต้องพูดว่า เขาจะพูดอะไรเชียร์อัพคนอื่นตลอดเวลา อย่าพร่ำเพ้อในโลกโซเชียล เช่นเจอลูกค้าอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่แก้ปัญหา กลับไปสนใจกับอะไรเล็กๆ เราต้องมีคำเหล่านี้คือ เก่งไม่กลัว บางคนเก่งไม่ทำ แต่อีกคนไม่เก่งแต่ทำทุกวัน ไม่ย่อท้อ เราเชื่อว่าทุกคนนักธุรกิจจะพูดแบบนี้ แค่ลงมือทำค่ะ”