posttoday

กลต.เตือนผู้ถือหุ้นUPA

29 พฤศจิกายน 2559

ก.ล.ต. เตือนผู้ถือหุ้น UPA ไปใช้สิทธิออกเสียงการให้สัตยาบันกรณีบริษัทย่อยทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า

ก.ล.ต. เตือนผู้ถือหุ้น UPA ไปใช้สิทธิออกเสียงการให้สัตยาบันกรณีบริษัทย่อยทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต. )เตือนให้ผู้ถือหุ้น บริษัท  ยูไนเต็ด เพาเวอร์ ออฟ เอเชีย (UPA) ศึกษาข้อมูล และไปใช้สิทธิออกเสียงในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ในวันที่ 2 ธ.ค.2559 นี้ เพื่อพิจารณาให้สัตยาบันในการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ระหว่างบริษัท เมียนมาร์ ยูพีเอ จำกัด (MUPA)ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ UPA กับ การไฟฟ้าแห่งสหภาพเมียนมาร์ (ปัจจุบันคือ Electric Power Generation Enterprise -- EPGE)

UPA จะขออนุมัติผู้ถือหุ้นให้สัตยาบันในการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง MUPA และ EPGE ในการประชุมวิสามัญ ในวันที่ 2 ธ.ค.2559 เนื่องจากเป็นรายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ที่มีขนาดของรายการ 337.92% ของสินทรัพย์รวมของ UPA ซึ่งตามเกณฑ์ หากรายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ใดมีขนาดเกิน 50% ของสินทรัพย์รวม จะต้องได้รับอนุมัติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน โดยไม่นับส่วนของผู้ถือหุ้นที่มีส่วนได้เสีย นอกจากนี้ หากได้รับอนุมัติดังกล่าว UPA ยังมีหน้าที่ต้องยื่นคำขอให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในการพิจารณารับหลักทรัพย์ใหม่ ซึ่งต้องมีการพิจารณาคุณสมบัติให้ครบถ้วนต่อไป

คณะกรรมการและคณะกรรมการตรวจสอบของ UPA มีความเห็นสรุปได้ว่ารายการดังกล่าว มีความสมเหตุสมผล และทำให้ผู้ถือหุ้นได้รับประโยชน์ เนื่องจากเป็นการต่อยอดและขยายฐานธุรกิจหลักของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน โดยจะสร้างความมั่นคงและผลตอบแทนในระยะยาวให้บริษัทโดยโครงการโรงไฟฟ้า เฟส 2 จะมีกำลังการผลิตกว่า 200 เมกะวัตต์ และมีระยะเวลาสัญญา 30 ปี

อย่างไรก็ดี ที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ มีความเห็นว่า การเข้าทำรายการดังกล่าวไม่สมเหตุสมผล เนื่องจากข้อมูลและปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงการโรงไฟฟ้าหลายส่วนยังไม่มีความชัดเจน อีกทั้งโครงการดังกล่าวมีข้อด้อยและความเสี่ยงหลายประการ และเมื่อประเมินมูลค่าโครงการโดยใช้หลักความระมัดระวัง การลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าอาจมีผลตอบแทนเป็นลบ และมีระยะเวลาคืนทุนนานเกือบ 11 ปี    

ก.ล.ต. จึงขอให้ผู้ถือหุ้นศึกษาข้อมูลโดยละเอียดและใช้สิทธิของผู้ถือหุ้นในการรักษาประโยชน์ของตนเอง พร้อมกับซักถามผู้บริหารบริษัทถึงข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้มีข้อมูลครบถ้วนในการประกอบการตัดสินใจด้วย