ค้านปรับขึ้นค่าเอฟทีแฉสำรองไฟฟ้าสูงเกินจริง ส่งผลต้นทุนผลิตไฟพุ่ง
สภาองค์กรของผู้บริโภคจี้ รมว.พลังงาน ระงับขึ้นค่าเอฟที เปิดต้นตอทำค่าไฟแพง สำรองไฟเกิน 1 หมื่นเมกะวัตต์ เสนอรื้อสูตรราคาก๊าซกดค่าเชื้อเพลิงถูกลง
น.ส.รสนา โตสิตระกูล อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงานและสิ่งแวดล้อม สภาองค์กรของผู้บริโภค เปิดเผยหลังยื่นหนังสือต่อนาย สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงานว่า ต้องการให้กระทรวงพลังงานระงับและพิจารณาทบทวนการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ(เอฟที)ในรอบเดือนพ.ค.-ส.ค. ในอัตรา 24.77 สต.ต่อหน่วยส่งผลให้ค่าไฟเรียกเก็บอยู่ที่ 4 บาทต่อหน่วย สูงสุดเป็นประวัติการณ์
ทั้งนี้ได้จัดทำข้อเสนอ 4 เรื่อง ดังนี้ 1. ขอให้ยับยั้งและทบทวนการคิดค่าเอฟที ใหม่โดยด่วน โดยให้ลดการรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็กที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งทำให้มีค่าซื้อไฟฟ้าสูงถึง 4.00 บาทต่อหน่วย ให้มีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าเท่ากับโรงไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าลงได้ประมาณ 8,860 ล้านบาทต่อปี
รวมทั้งปรับลดเงินประกันกำไรของโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็กที่ใช้ก๊าซธรรมชาติให้อยู่ที่ร้อยละ 1.75 ซึ่งใกล้เคียงกับเงินประกำไรของโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ และควรกำหนดเพดานราคาก๊าซธรรมชาติในสูตรการคำนวณค่าผ่านท่อไว้ที่ 200 บาทต่อล้านบีทียู และกำหนดและค่าประสิทธิภาพที่ร้อยละ 2 ต่อปี เพื่อลดภาระค่าไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าได้ถึง 587 ล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้ต้องปรับโครงสร้าง ราคา Pool Gas ใหม่ โดยนำปริมาณก๊าซธรรมชาติที่เข้าสู่โรงแยกก๊าซธรรมชาติและถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีมารวมอยู่ในราคา Pool Gas ด้วย ซึ่งจะช่วยทำให้ราคา Pool Gas ลดลง และคาดว่าจะช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าได้ประมาณ 40,000 ล้านบาทต่อปี
ทั้งนี้ต้องสนับสนุนการพึ่งตนเองด้านพลังงานไฟฟ้าของประชาชนอย่างเต็มที่ ด้วยการส่งเสริมให้ประชาชนผลิตไฟฟ้าด้วยระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคาตามโครงการโซลาร์ภาคประชาชนให้เพิ่มขึ้น เพื่อลดภาระค่าไฟฟ้าและเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน โดยกำหนดราคารับซื้อไว้ที่ 2.20 บาท / หน่วย ให้เปลี่ยนเป็นระบบเน็ตมิเตอริ่ง หรือระบบการคิดค่าไฟฟ้าแบบหักลบกลบหน่วย เพื่อไม่ให้การไฟฟ้าต้องเสียค่าใช้จ่ายหรือเป็นภาระในการเปลี่ยนหรือเพิ่มมิเตอร์ไฟฟ้า
ขณะเดียวกันให้ขยายระยะเวลาการับซื้อไฟฟ้าของโซลาร์ภาคประชาชน จากเดิมที่กำหนดไว้ที่ 10 ปี เป็น 20 – 25 ปี หรือตามอายุการใช้งานของแผงโซลาร์เซลล์ และให้จัดหาแหล่งทุนกู้ยืมดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการติดตั้งระบโซลาร์เซลล์ได้อย่างแท้จริง และขอให้ชะลอการรับซื้อไฟฟ้าจากโรงฟ้าเอกชนขนาดใหญ่ทั้งในและต่างประเทศที่ก่อสร้างขึ้นใหม่ออกไป และการดำเนินการเพื่อการได้มาซึ่งพลังงานไฟฟ้าทั้งในและนอกประเทศจะต้องคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และผลกระทบต่อชุมชนใกล้เคียงด้วย
การดำเนินนโยบายด้านพลังงานและการกำกับกิจการพลังงานของประเทศ ขอให้ตระหนักถึงความมีธรรมาภิบาลอย่างสูงสุด และต้องไม่ให้มีปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนในการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง
น.ส.รสนา กล่าวว่าปัญหาค่าไฟฟ้าแพงของประเทศ ไม่ได้มีปัจจัยจากภาวะสงครามหรือราคาก๊าซธรรมชาติขยับสูงขึ้นแต่เพียงที่หน่วยงานด้านพลังงานกล่าวอ้างเท่านั้น แต่มาจากการวางแผนการผลิตพลังงานไฟฟ้าของประเทศไทยคำนึงถึงความมั่นคงทางด้านพลังงานเกินความจำเป็น และเอื้อประโยชน์ต่อการลงทุนธุรกิจพลังงานไฟฟ้าเกินสมควร ทำให้เกิดปัญหาการสำรองไฟฟ้าที่มากเกินจำเป็นหรือมีโรงไฟฟ้าในระบบล้นเกินความต้องการ เห็นได้จากปัจจุบันที่ประเทศไทยมีกำลังผลิตไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 46,136.4 เมกะวัตต์ แต่มียอดใช้ไฟฟ้าสูงสุดในปี 2562 – 2564 เพียงปีละประมาณ 30,000 เมกะวัตต์ เท่านั้น หรือมีปริมาณเกินไปปีละ 10,000 เมกะวัตต์ ซึ่งการมีกำลังการผลิตสำรองสูงถึงร้อยละ 50 ขณะที่กำลังการผลิตสำรองไฟฟ้าที่เหมาะสมควรอยู่ที่ประมาณร้อยละ 15 เท่านั้น
นอกจากนี้ประเทศไทยมีโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (IPPs) ที่มีกำลังผลิตไฟฟ้าล้นเกินความต้องการใช้ ไม่ต้องเดินเครื่องผลิตไฟฟ้า แต่ยังได้เงินค่าไฟฟ้าที่เรียกว่า “ค่าความพร้อมจ่ายไฟฟ้า” ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าในลักษณะ “ไม่ซื้อก็ต้องจ่าย” (Take or Pay) ประมาณการว่าที่ผ่านมา มีโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ 8 ใน 12 แห่งไม่ได้เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าหรือเดินเครื่องไม่เต็มศักยภาพ แต่ยังได้รับเงินค่าความพร้อมจ่ายไฟฟ้าแบบไม่ซื้อก็ต้องจ่าย โดยคาดว่าค่าภาระไฟฟ้าส่วนเกินนี้เป็นเงินมากถึง 49,000 ล้านบาทต่อปี
ขณะที่โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ไม่ได้เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าอย่างเต็มศักยภาพ เพราะกำลังผลิตไฟฟ้าล้นระบบ ทำให้มีการผ่องถ่ายการผลิตไฟฟ้าไปให้โรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPPs) เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าแทน ตามประมาณการค่าเอฟทีในช่วงเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2564 ค่าไฟฟ้าของโรงฟ้าขนาดเล็กมีอัตราสูงถึง 4 บาทต่อหน่วย มีปริมาณไฟฟ้าที่ซื้อมากถึง 18,014 ล้านหน่วย เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 73,261 ล้านบาท นับเป็นอัตราค่าไฟฟ้า ปริมาณซื้อไฟฟ้า และค่าใช้จ่ายที่สูงที่สุดในการซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าภาคเอกชนทั้งหมด
สำหรับโรงไฟฟ้าขนาดเล็กจำนวนทั้งหมด 155 โรงเป็น โรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงมากถึง 76 โรงหรือคิดเป็นร้อยละ 49 ของจำนวน SPPs ทั้งหมด ซึ่งมีกำลังผลิตไฟฟ้ารวมกันประมาณ 6,200 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็นร้อยละ 66 ของกำลังผลิตไฟฟ้า SPPs ทั้งหมด ขณะที่โรงไฟฟ้า SPPs พลังงานหมุนเวียนมีอยู่ 74 โรง แต่มีกำลังผลิตไฟฟ้ารวมกันเพียง 2,868.4 เมกะวัตต์ หรือประมาณร้อยละ 30 ของกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งหมดของกลุ่ม SPPs เท่านั้น
นอกจากนี้ประชาชนไม่ได้ใช้ราคาก๊าซธรรมชาติที่ผลิตจากอ่าวไทยที่มีราคาต่ำที่สุดเมื่อเปรียบเทียบราคาก๊าซจากแหล่งอื่นๆ แต่ต้องใช้ราคา Pool Gas หรือราคาผสมจากทุกแหล่ง ทั้งก๊าซที่ออกจากโรงแยกก๊าซ ก๊าซนำเข้าจากประเทศพม่าและ LNG ที่ขยับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งยังมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับค่าสถานีบริการและค่าผ่านท่อที่ขยับสูงขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน ขณะที่มีเพียงกลุ่มโรงแยกก๊าซธรรมชาติและกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเท่านั้นที่ได้ใช้ก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยตามราคาก๊าซธรรมชาติในประเทศที่ไม่ต้องไปรวมในราคา Pool Gas จึงเป็นการใช้ก๊าซธรรมชาติในราคาที่ต่ำและไม่มีการร่วมเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขกับประชาชน
อย่างไรก็ตาม รัฐยังไม่ตระหนักถึงปัญหาปริมาณไฟฟ้าสำรองที่ล้นเกินอย่างจริงจัง เนื่องจากปัจจุบันรัฐบาลยังรับซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนไฟฟ้าในประเทศลาวเข้ามาอีก 2 โรง คือเขื่อนไฟฟ้าหลวงพระบาง มีอัตราค่าไฟฟ้า 2.8432 บาทต่อหน่วย และเขื่อนปากแบง อัตราค่าไฟฟ้า 2.9179 บาทต่อหน่วย ซึ่งเป็นอัตราค่าไฟฟ้าที่สูงกว่าอัตราค่าไฟฟ้าฐานขายส่งของกฟผ. ที่ 2.56 บาทต่อหน่วย โดยค่าไฟฟ้าที่ต้องจ่ายดังกล่าวเป็นภาระค่าเอฟที ของประชาชน


