3 ปีลงทุนใน อีอีซี 1.7 ล้านลบ. เร็วกว่าเป้าหมาย
รัฐหวังโควิดคลี่คลายเดินหน้ากระตุ้นลงทุนอีอีซี ตั้งเป้าอีก 5 ปี เงินสะพัด 2.2 -2.5 ล้านลบ. เพิ่มสิทธิประโยชน์ดึงต่างชาติลงทุน นำร่องเมืองการบิน
นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กบอ.) ที่มีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงานเป็นประธาน ว่า ภาพรวมการลงทุนในพื้นที่อีอีซี ในช่วง 3 ปี(2561-2564) มีมูลค่ารวม 1.6 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 94 จากเป้าหมายแผน 5 ปี (2561-2565) ของอีอีซี 1.7 ล้านล้านบาท เร็วกว่าเป้าที่กำหนดไว้ ดังนั้นจึงกำหนดเป้าหมายการลงทุนในระยะ5 ปีข้างหน้า (2565-2569) ไว้ที่ 2.2 - 2.5ล้านล้านบาท
สำหรับการลงทุนช่วง 6 เดือนที่ผ่าน (ม.ค.-มิ.ย. 64) มีการขอรับส่งเสริมลงทุน 232 โครงการ เงินลงทุน 1.26 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 53 (จากช่วงเดียวกันปี 63) โดยอนุมัติส่งเสริมลงทุน 195 โครงการ เงินลงทุน 74,250 ล้านบาท และออกบัตรส่งเสริม 187 โครงการ เงินลงทุน 88,083 ล้านบาท ซึ่งจำนวนขอโครงการสูงสุดคือ อุตสาหกรรมยานยนต์ชิ้นส่วน ส่วนเงินลงทุนสูงสุดคือ เครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็คทรอนิกส์
ขณะที่การลงทุนตรงจากต่างประเทศ (FDI) คิดเป็นร้อยละ 64ของคำขอลงทุนในอีอีซี ซึ่งนักลงทุนที่สนใจมากที่สุดคือ ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง ตามลำดับ วางกรอบสิทธิประโยชน์ เน้นความต้องการผู้ประกอบการ จูงใจนักลงทุน ใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังพิจารณาแผนขยายมาตรการสนับสนุนการลงทุนจากโครงการที่เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล สู่การให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกอบการกิจการในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ โดยเริ่มนำร่องที่เขตส่งเสริมฯ เมืองการบินภาคตะวันออก (EECa) ให้เป็น พื้นที่ต้นแบบ (Sandbox) โดยเน้นกลุ่มนักลงทุนที่มีศักยภาพ ใช้นวัตกรรมขั้นสูงและเป็นมิตรสิ่งแวดล้อม ภายใต้การออกแบบสิทธิประโยชน์ที่ตรงตามความต้องการของผู้ประกอบการ (Demand Driven Customization)
นอกจากนี้ยังพิจารณาโครงการเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (EECd) ซึ่งจะจัดทำเป็นมาสเตอร์แพลน ตั้งเป้าหมายให้ เป็นเมืองดิจิทัลระดับโลกในภูมิภาค เป็นศูนย์กลางลงทุนและพัฒนาอุตสาหกรรมด้านดิจิทัลแห่งอนาคต และเป็นเมืองอัจฉริยะโดยใช้หลักคิดการพัฒนาเมืองที่เติบโตอย่างยั่งยืนและพึ่งพาตนเองได้ สำหรับร่างแผนพัฒนาการเกษตรในอีอีซี (พ.ศ.2566 -2570)ซึ่งจัดทำร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีกรอบแนวคิด เน้นตลาดนำการผลิต (Demand Pull) ใช้เทคโนโลยีสร้างรายได้ (Technology Push) สร้างโอกาสการตลาดให้กับสินค้าเกษตรคุณภาพดี พร้อมเป็นต้นแบบการพัฒนาภาคเกษตรเข้าถึงตลาดสินค้ามูลค่าสูงโดยเริ่มพัฒนา 5 คลัสเตอร์สำคัญ ได้แก่ ผลไม้ ทุเรียน มังคุด มะม่วง ประมงเพาะเลี้ยง สัตว์น้ำทดแทนนำเข้า พืชอุตสาหกรรมชีวภาพ มันสำปะหลัง พืชสมุนไพร ฟ้าทะลายโจร และเกษตรมูลค่าสูง โคเนื้อพรีเมียม ตั้งเป้าหมายยกระดับรายได้ให้ชุมชนเกษตรกรในพื้นที่ อีอีซี เทียบเท่ากลุ่มอุตสาหกรรม-บริการ พร้อมให้จีดีพีภาคเกษตรในอีอีซีเพิ่มขึ้น
“สถานการณ์โควิดตอนนี้ การฉีดวัคซีนทำได้ 40 ล้านโดส หลังจากนี้ก็จะมีวัคซีนเข้ามาเพิ่มอีก คาดช่วงเดือนพ.ย.-ธ.ค.การฉีดวัคซีนจะได้เป็น 70% น่าจะเป็นสัญญาณที่ดี นักลงทุนจะเริ่มกลับเข้ามา ประกอบกับภาพรวมการลงทุน3 ปีที่ผ่านมา เม็ดเงินลงทุนทำได้มากกว่า1.6 ล้านล้านบาท เทียบกับเป้าหมาย 5ปี ที่กำหนดไว้ 1.7 ล้านล้านบาท ถือว่าเร็วกว่าเป้าที่วางไว้ ดังนั้นในอีก 5 ปีข้างหน้าจึงกำหนดไว้ที่ 2.2-2.5 ล้านล้านบาท มีโอกาสเป็นไปได้”นายคณิส กล่าว


