โควิดรอบ 3 ฉุดเงินหายจากเศรษฐกิจไทย 2-3 แสนล.
ม.หอการค้าฯ ชี้รัฐต้องเร่งอัดฉีดเงิน 2 แสนล้านเข้าระบบ ปลุกคนละครึ่งเฟส 3-ช้อปช่วยชาติพลัส-บ้านหลังแรก เชื่อมือรัฐบาลจัดการโควิดได้ใน 2 เดือน หวังไตรมาส 3 เศรษฐกิจฟื้น
ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิบการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึง ผลสำรวจการประเมินผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกที่ 3 ที่มีต่อเศรษฐกิจไทย ว่า ภาพรวมผลกระทบที่เกิดขึ้น จากสถานการณ์โควิดรอบที่ 1 ยังมากที่สุดเนื่องจากมีการล็อกดาวน์ทั่วประเทศ ในขณะที่รอบที่ 3 มีการล็อกดาวน์บางพื้นที่ แต่เกิดปัญหาผลกระทบสะสม และทำให้อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยลดลง 0.62% ต่อเดือน หรือคิดเป็นมูลค่า 1 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ปัญหาโควิดรอบ3 ที่เกิดขึ้นได้ส่งเม็ดเงินเศรษฐกิจหายไป 2-3 แสนล้านบาท และ ถ้ารัฐบาลไม่มีมาตรการอะไรออกมาเลย จีดีพีจะโตแค่ 1.2 % ดังนั้นขึ้นอยู่กับรัฐบาลจะมีการบริหารจัดการอย่างไร โดยเฉพาะการนำเงินกู้ที่เหลืออีก 2 แสนล้านบาทมาอัดฉีดเพิ่มสภาพคล่องในระบบในช่วงไตรมาส 2 ซึ่งเชื่อว่าจะใช้เวลาในการจัดการกับโควิดรอบนี้ได้ไม่เกิน 2 เดือนและสามารถฟื้นเศรษฐกิจได้ในไตรมาส 3
“ เงิน 2 แสนล้านบาทของรัฐบาลที่เหลืออยู่คิดว่ามีโอกาสเพียงพอในการเยียวยาเศรษฐกิจได้ ยังไม่จำเป็นต้องเปิดเพดานเงินกู้ใหม่ ซึ่งจะช่วยชดเชยการใช้จ่ายของประชาชนที่ลดลงไป15% ได้ ส่วนที่กังวลว่าจีดีพีปีนี้จะเป็น0% นั้น ถ้าเกิดโควิดรอบ4ก็เป็นไปได้”
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า สถานการณ์น่าจะคลี่คลายได้ไม่เกินเดือนก.ค. และคืนสู่สภาพปกติได้ในช่วง 15-23 เดือน สิ่งที่รัฐบาลต้องดำเนินการตอนนี้ เร่งดำเนินการเกี่ยวกับวัคซีนร่วมกับภาคเอกชน การฟื้นฟูเศรษฐกิจ ภายใต้การจัดสรรงบประมาณที่เหมาะสม และสนับสนุนมาตรการด้านการเงิน เช่น สภาพคล่อง การเข้าถึงแหล่งเงินทุน การพักขำระหนี้ โดยเฉพาะเอสเอ็มอี
ด้านนายวิเชียร แก้วสมบัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่าข้อเสนอแนะ เกี่ยวกับนโบบายเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มจีดีพี คือ1.โครงการคนละครึ่งเฟส3 จัดสรรงบ 57,190 ล้านบาทให้กับผู้ที่เคยได้รับเฟส1-2 จำนวน 16.34 ล้านราย ในอัตรา 3,500 บาท ต่อราย รวม 114,380 ล้านบาท
2.เพิ่มมูลค่าส่งออก ในช่วง 8 เดือนที่เหลือ อีก 73,920 ล้านบาท โดยรักษาค่าเงินบาทให้อยู่ที่ 31-32 บาทต่อเหรียญสหรัฐ 3. กระตุ้นการบริโภคในประเทศ เช่นโครงการช็อปช่วยชาติพลัสเพิ่มลดหย่อนภาษีไม่เกิน 1 แสนบาท โครงการบ้านหลักแรกปี2564 และโครงการรถยนต์ไฟฟ้าคันแรก รวมมูลค่า 1 หมื่นล้านบาท
4. กระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ เช่นโครงการพักสุดหรู ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 1 แสนบา รวม มูลค่า 2,000 ล้านบาท รวมวงเงินทั้งหมด 200,300 ล้านบาท