posttoday

47.5 กิโลเมตร จากพระนครถึงหนองจอก เมื่อ “แสนแสบ” พลิกโฉมเมืองอีกครั้ง

25 ธันวาคม 2568

จากคลองสงคราม สู่คลองจราจร และกำลังจะเป็นพื้นที่สาธารณะ ในโครงการ “ทางเดินและทางจักรยานเลียบคลองแสนแสบ” กำลังบอกอะไรเราเกี่ยวกับอนาคตกรุงเทพมหานคร

KEY

POINTS

  • โครงการทางเดินและทางจักรยานเลียบคลองแสนแสบ เป็นโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระยะทาง 47.5 กิโลเมตร จากเขตพระนครถึงหนองจอก โดยมีวิสัยทัศน์เพื่อเชื่อมต่อระบบขนส่ง "ล้อ-ราง-เรือ" และส่งเสริมให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่เดินได้และปั่นจักรยานได้ดี
  • เป้าหมายของโครงการไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเดินทาง แต่ยังครอบคลุมการยกระดับคุณภาพชีวิตผ่านการสร้างพื้นที่สาธารณะริมคลอง และการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมควบคู่กันไป เช่น การสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งและวางระบบรวบรวมน้ำเสียเพื่อแก้ปัญหาน้ำเน่า
  • โครงการนี้ถือเป็นการพลิกโฉมคลองแสนแสบครั้งประวัติศาสตร์ เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างเมืองกับสายน้ำ โดยแม้จะมีความคืบหน้าไปมากและสร้างผลกระทบเชิงบวกในพื้นที่ที่แล้วเสร็จ แต่ยังคงมีความท้าทายในจุดที่กำลังก่อสร้างเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเชื่อมต่อที่สมบูรณ์และปลอดภัย

สำรวจความจริงเกี่ยวกับโครงการ “ทางเดินและทางจักรยานเลียบคลองแสนแสบ” ที่ผู้คนยังสับสนและไม่ค่อยรู้

 

โครงการนี้มีเป้าหมายสำคัญคือการพัฒนาทางเดินและเลนจักรยาน ระยะทางรวมกว่า 47.5 กิโลเมตรหากวัดตามความยาวของคลองแสนแสบทั้งหมด ตั้งต้นจากใจกลางเมืองในเขตพระนครไปจนถึง เขตหนองจอก ผ่านกลางชุมชนที่หนาแน่นและย่านเศรษฐกิจต่าง ๆ ของกรุงเทพฯ

 

47.5 กิโลเมตร จากพระนครถึงหนองจอก เมื่อ “แสนแสบ” พลิกโฉมเมืองอีกครั้ง

 

แต่ กทม. ใม่ได้ทำแค่ฝั่งเดียว เพราะเมื่อรวมความยาวที่ต้องดำเนินการทั้ง 2 ฝั่งมีความยาวทั้งสิ้น 95 กิโลเมตร ปัจจุบัน ล่าสุด กทม. อัพเดทว่า สร้างแล้วเสร็จ เป็นระยะทางรวมประมาณ 62.62 กิโลเมตร ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างเพิ่มเติมอีกเกือบ 20 กิโลเมตร

 

จากทางเดินริมคลองสู่เส้นเลือดใหม่ของเมือง โครงการทางเลียบแสนแสบและอนาคตกรุงเทพฯ

 

คงไม่เกินเลยหากจะบอกว่านี่คือการพลิกโฉมคลองแสนแสบไปสู่มิติใหม่ของการสัญจรและคุณภาพชีวิตมที่ดีขึ้นของคนกรุง หมายถึงเรามีทางเลือกในการเดินทางมากขึ้น (จะอ้างว่ามาสายเพราะ "รถติด" ไม่ได้อีกต่อไป…)

 

โครงการพัฒนาทางเดินเลียบคลองแสนแสบไม่ได้เป็นเพียงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ แต่คือภาพสะท้อนความมุ่งมั่นของกรุงเทพมหานครในการพลิกโฉมเมืองให้กลายเป็นมหานครที่มีชีวิตชีวา น่าอยู่ และเชื่อมต่อถึงกันอย่างแท้จริง โครงการนี้ถือเป็นความพยายามครั้งสำคัญในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างเมืองกับสายน้ำในอดีตให้กลับมามีบทบาทในฐานะแกนกลางของการสัญจรและพื้นที่สาธารณะสำหรับทุกคน

 

47.5 กิโลเมตร จากพระนครถึงหนองจอก เมื่อ “แสนแสบ” พลิกโฉมเมืองอีกครั้ง

 

โพสต์ทูเดย์ Smart City ชวนมาสำรวจโครงการนี้ในบริบทต่างๆ

 

1.

วิสัยทัศน์ "เดินได้ ปั่นดี เชื่อมเมืองครบวงจร" ถอดรหัสเป้าหมายและคำมั่นสัญญาของ กทม.

วิสัยทัศน์ของโครงการนี้ถูกสรุปรวมอยู่ในนโยบายหลัก "เดินได้ ปั่นดี เชื่อมเมืองครบวงจร" ซึ่งสะท้อนเป้าหมายที่กว้างไกลกว่าการสร้างทางเดินริมคลอง แต่มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเดินทางและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนเมืองอย่างยั่งยืน โดยมีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ ดังนี้

  • การเชื่อมต่อระบบสัญจรไร้รอยต่อ โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการสร้างโครงข่ายที่เชื่อมโยงระบบขนส่งสาธารณะหลัก "ล้อ-ราง-เรือ" (รถประจำทาง-รถไฟฟ้า-เรือโดยสาร) เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อเป็นทางเลือกในการเดินทางและช่วยลดการพึ่งพารถยนต์ส่วนบุคคล แก้ปัญหาการจราจรในระยะยาว
  • การยกระดับคุณภาพชีวิตและพื้นที่สาธารณะ โครงการมุ่งสร้างพื้นที่ริมคลองให้เป็นพื้นที่สาธารณะที่ปลอดภัย ประชาชนสามารถใช้เป็นเส้นทางสัญจร เดิน วิ่ง ปั่นจักรยาน ออกกำลังกาย และพักผ่อนหย่อนใจได้ทั้งในเวลาเช้าและเย็น เสริมสร้างสุขภาวะที่ดีให้กับคนเมือง
  • การฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและภูมิทัศน์ ควบคู่ไปกับการสร้างทางเดิน โครงการยังรวมถึงการก่อสร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็ก (ค.ส.ล.) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ การติดตั้งระบบรวบรวมน้ำเสียเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสีย และการปรับปรุงภูมิทัศน์ริมคลองให้สะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย

 

47.5 กิโลเมตร จากพระนครถึงหนองจอก เมื่อ “แสนแสบ” พลิกโฉมเมืองอีกครั้ง

 

เพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ดังกล่าว กรุงเทพมหานครได้วางแผนการดำเนินงานครอบคลุมระยะทางเป้าหมายกว่า 47.5 กิโลเมตร (รวมความยาวสองฝั่งคลอง 95 กิโลเมตร) โดยมีกรอบเวลาที่ชัดเจนคือ

- ช่วงจากผ่านฟ้า-โบ๊เบ๊-ประตูน้ำ-อโศก-ทองหล่อ-คลองตัน-รามคำแหง-วัดศรีบุญเรือง-บางชัน กำหนดแล้วเสร็จกลางปี 2569

- ช่วงบางชัน – มีนบุรี กำหนดแล้วเสร็จปี 2570

- ช่วงมีนบุรี-หนองจอก กำหนดแล้วเสร็จภายในปี 2572

 

โดยการพัฒนาในช่วงสุดท้ายนี้จะช่วยให้ประชาชนในเขตชานเมืองสามารถเข้าถึงระบบขนส่งมวลชน "ล้อ-ราง-เรือ" ได้อย่างสะดวกและปลอดภัยยิ่งขึ้น

 

จากวิสัยทัศน์และแผนงานที่วางไว้อย่างเป็นระบบ ขั้นตอนต่อไปคือการประเมินว่าเมื่อนำแผนดังกล่าวมาปฏิบัติจริง ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นสอดคล้องกับความคาดหวังเพียงใด

 

47.5 กิโลเมตร จากพระนครถึงหนองจอก เมื่อ “แสนแสบ” พลิกโฉมเมืองอีกครั้ง

 

2.

จากแผนสู่ความเป็นจริง สำรวจความคืบหน้าและเสียงสะท้อนจากผู้ใช้งาน

จากข้อมูลล่าสุด รายงานความคืบหน้าจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ของ กทม. ระบุระยะทางที่แล้วเสร็จ 62.62 กิโลเมตร และมีส่วนที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างอีกประมาณ 4.72 กิโลเมตร ขณะเดียวกันยังมีอีก 12.7 กิโลเมตรที่อยู่ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง เมื่อพิจารณาจากประสบการณ์ของผู้ใช้งาน สามารถสรุปผลได้ทั้งในด้านบวกและความท้าทายที่ยังคงอยู่

 

  • ด้านบวก ในพื้นที่ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดใช้งาน โดยเฉพาะเส้นทางระหว่างท่าเรือวัดใหม่ช่องลมถึงท่าเรือ มศว ประสานมิตร ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากประชาชน โดยผู้ใช้งานส่วนใหญ่รู้สึกถึงความปลอดภัยและความสะดวกที่เพิ่มขึ้น สามารถใช้เป็นเส้นทางลัดในการเดินทาง และเป็นพื้นที่ใหม่สำหรับการออกกำลังกาย เช่น การเดินและวิ่ง ซึ่งช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตประจำวันได้อย่างเป็นรูปธรรม

 

47.5 กิโลเมตร จากพระนครถึงหนองจอก เมื่อ “แสนแสบ” พลิกโฉมเมืองอีกครั้ง

 

  • ความท้าทายในการก่อสร้าง ในทางกลับกัน พื้นที่ที่ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างหรือปรับปรุง ผู้ใช้งานยังคงต้องเผชิญกับอุปสรรคและความไม่สะดวกหลายประการ ดังนี้
    1. จุดเชื่อมต่อที่ยังไม่สมบูรณ์ บางช่วงของเส้นทางยังคงมีสภาพเป็นคอขวด ทางเดินแคบลงจนเดินสวนกันลำบาก ผู้ใช้งานต้องหยุดรอให้อีกฝ่ายผ่านไปก่อน นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ก่อสร้างวางอยู่บนทางเดิน ซึ่งอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้
    2. อุปสรรคทางกายภาพ สะพานข้ามท่อประปาหรือคูน้ำรูปแบบเก่าเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับผู้ใช้จักรยาน เนื่องจากมีความชันและแคบ ทำให้ต้องยกลงจูงข้าม อย่างไรก็ตาม โครงการได้เริ่มนำสะพานรูปแบบใหม่ที่มีทางลาดในตัวมาใช้ ซึ่งจะช่วยให้จักรยานและรถเข็นสามารถสัญจรได้สะดวกขึ้นในอนาคต
    3. ความปลอดภัยในพื้นที่ก่อสร้าง มีการตรวจพบความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในบางจุด เช่น เหล็กเส้นที่ยังไม่ได้ตัดเก็บให้เรียบร้อยบริเวณราวกันตก ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อผู้ที่สัญจรผ่านไปมา

 

47.5 กิโลเมตร จากพระนครถึงหนองจอก เมื่อ “แสนแสบ” พลิกโฉมเมืองอีกครั้ง

 

3.

มากกว่าแค่ทางเดิน การประเมินผลกระทบเชิงวิพากษ์

ประเมินมิติ "การเชื่อมต่อไร้รอยต่อ" แม้ว่าวิสัยทัศน์จะมุ่งเน้น "การเชื่อมต่อไร้รอยต่อ" แต่สภาพความเป็นจริงที่พบในพื้นที่ก่อสร้าง ซึ่งมีทั้งทางเดินที่คับแคบจนเดินสวนกันลำบาก (ดังที่พบในบริเวณใต้สะพานอโศก) และจุดเชื่อมต่อที่ยังไม่สมบูรณ์ ชี้ให้เห็นว่าเป้าหมายนี้ยังไม่บรรลุผลอย่างแท้จริงในทางปฏิบัติ

 

การแก้ปัญหา "Last-mile Connectivity" หรือการเดินทางระยะสุดท้ายจากระบบขนส่งสาธารณะสู่ที่หมาย จึงยังคงเป็นความท้าทายสำคัญที่ต้องอาศัยมาตรฐานการออกแบบที่เป็นหนึ่งเดียวกันและการจัดการพื้นที่หน้างานที่มีประสิทธิภาพมากกว่าที่เป็นอยู่

 

ประเมินมิติ "ความปลอดภัยและครอบคลุม (Inclusivity)" โครงการมีการออกแบบโดยคำนึงถึงความปลอดภัย ทั้งการติดตั้งไฟส่องสว่าง ราวกันตก และทางลาดสำหรับผู้ใช้วีลแชร์ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม อย่างไรก็ตาม ความท้าทายหลักอยู่ที่การทำให้มาตรฐานเหล่านี้ถูกบังคับใช้อย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งเส้นทาง 

 

ประเมินมิติ "ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและภูมิทัศน์" จุดแข็งที่โดดเด่นที่สุดของโครงการนี้ คือการบูรณาการงานโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมเข้ากับภารกิจด้านสิ่งแวดล้อมอย่างแยกไม่ออก การก่อสร้างเขื่อนคอนกรีตไม่เพียงแต่สร้างทางเดิน แต่ยังช่วยป้องกันการพังทลายของตลิ่งและเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ ขณะเดียวกัน การวางระบบรวบรวมน้ำเสียควบคู่กันไปก็เป็นการแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสียที่ต้นตอ แนวทางแบบบูรณาการนี้ถือเป็นความสำเร็จที่สำคัญ และสามารถใช้เป็นต้นแบบที่ทรงคุณค่าสำหรับโครงการฟื้นฟูแม่น้ำลำคลองสายอื่นๆ ในกรุงเทพฯ ต่อไป

 

47.5 กิโลเมตร จากพระนครถึงหนองจอก เมื่อ “แสนแสบ” พลิกโฉมเมืองอีกครั้ง

 

โครงการทางเดินเลียบคลองแสนแสบถือเป็นก้าวที่กล้าหาญและมีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออนาคตของกรุงเทพมหานคร เป็นการลงทุนที่ไม่ได้ให้ผลตอบแทนแค่ในเชิงโครงสร้างพื้นฐาน แต่ยังเป็นการลงทุนเพื่อคุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อม และการสร้างปฏิสัมพันธ์ใหม่ระหว่างเมืองกับผู้คน

 

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จสูงสุดของโครงการไม่ได้วัดกันที่จำนวนกิโลเมตรของทางเดินที่สร้างเสร็จ แต่ขึ้นอยู่กับการก้าวข้ามกรอบคิดของการเป็นเพียง "โครงการก่อสร้าง" ไปสู่การเป็น "พื้นที่สาธารณะที่มีชีวิต" ซึ่งต้องอาศัยการออกแบบที่ใส่ใจผู้ใช้งานเป็นศูนย์กลาง (User-Centered Design) การส่งเสริมให้เกิดกิจกรรมในชุมชน และการบริหารจัดการและบำรุงรักษาอย่างจริงจังในระยะยาว

 

ท้ายที่สุดแล้ว ทางเลียบคลองแสนแสบจึงเป็นมากกว่าทางเดิน แต่เป็น "เข็มทิศ" ที่ชี้ทิศทางอนาคตของเมือง เป็นกรณีศึกษาชิ้นสำคัญและอาจเป็นพิมพ์เขียวสำหรับกรุงเทพมหานครในการนำมรดกทางสายน้ำอันทรงคุณค่ากลับมาใช้ประโยชน์อย่างสร้างสรรค์ เพื่อสร้างเมืองที่ยั่งยืนและมีประชาชนเป็นหัวใจสำคัญอย่างแท้จริง

 

47.5 กิโลเมตร จากพระนครถึงหนองจอก เมื่อ “แสนแสบ” พลิกโฉมเมืองอีกครั้ง

 

ประวัติศาสตร์การเดินทางอันยาวนานของ “แสนแสบ” ที่แสบแสน

คลองแสนแสบไม่ใช่เพียงคลองสายหนึ่งในกรุงเทพฯ แต่คือโครงสร้างพื้นฐานทางยุทธศาสตร์ที่มีบทบาทสำคัญตั้งแต่ยุคเริ่มต้นของกรุงรัตนโกสินทร์ คลองสายนี้ถูกขุดขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) ราวปี พ.ศ. 2379 ท่ามกลางบริบทของภัยคุกคามจากญวนในช่วงสงครามสยาม–ญวน เป้าหมายหลักของการขุดคลองไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจหรือการตั้งถิ่นฐาน หากแต่เป็น “เส้นทางลำเลียงกำลังพลและยุทธปัจจัย” เพื่อเชื่อมแม่น้ำเจ้าพระยาเข้ากับบางปะกงอย่างรวดเร็ว คลองแสนแสบจึงถือกำเนิดขึ้นในฐานะโครงข่ายความมั่นคงของรัฐ มากกว่าจะเป็นคลองเพื่อชีวิตประจำวันในช่วงแรก

 

ชื่อ “แสนแสบ” เองก็สะท้อนประวัติศาสตร์การขุดที่หนักหน่วง มีตำนานเล่าขานกันว่าการขุดคลองเต็มไปด้วยความยากลำบาก ทั้งดินเหนียว ดินเลน และพื้นที่ชุ่มน้ำ ทำให้แรงงานบาดเจ็บ เจ็บปวด “แสบ” ไปทั้งกายและใจ บ้างก็เชื่อว่าชื่อมาจากความรวดเร็วและความดุดันของกระแสน้ำในช่วงแรก ไม่ว่าที่มาใด ชื่อนี้ก็ฝังร่องรอยของแรงงานและความสูญเสียเอาไว้ในภูมิประเทศของเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

47.5 กิโลเมตร จากพระนครถึงหนองจอก เมื่อ “แสนแสบ” พลิกโฉมเมืองอีกครั้ง

 

เมื่อภัยสงครามคลี่คลาย บทบาทของคลองแสนแสบค่อย ๆ เปลี่ยนจากเส้นทางทหารมาเป็นเส้นทางเศรษฐกิจและการตั้งถิ่นฐาน คลองสายนี้กลายเป็นแกนหลักในการขยายเมืองไปทางทิศตะวันออกของกรุงเทพฯ เชื่อมพื้นที่เกษตรกรรม ตลาด ชุมชน และวัดวาอาราม ผู้คนใช้เรือเป็นพาหนะหลัก บ้านเรือนหันหน้าเข้าหาคลอง เกิดวัฒนธรรมริมน้ำที่มีชีวิตชีวา ตั้งแต่ประตูน้ำ ประเพณี ไปจนถึงการค้าขาย คลองแสนแสบในช่วงปลายรัชกาลที่ 3 ถึงรัชกาลที่ 5 จึงเปรียบเสมือน “ถนนสายหลัก” ของฝั่งตะวันออกกรุงเทพฯ ในยุคที่ถนนยังเป็นของใหม่

 

เมื่อกรุงเทพฯ เข้าสู่ยุคถนนและรถยนต์ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 บทบาทของคลองแสนแสบก็เริ่มถดถอย จากเส้นเลือดหลักของเมือง กลายเป็นพื้นที่หลังบ้าน ถนนตัดผ่านแทนที่คลองในฐานะแกนพัฒนา เมืองหันหลังให้สายน้ำ บ้านเรือน โรงงาน และกิจกรรมเมืองเริ่มปล่อยน้ำเสียลงคลองโดยไร้ระบบรองรับ คลองแสนแสบค่อย ๆ กลายเป็นสัญลักษณ์ของปัญหาสิ่งแวดล้อม ความแออัด และความเหลื่อมล้ำในเมือง มากกว่าจะเป็นพื้นที่ชีวิตเช่นในอดีต

 

แม้บทบาทเชิงวัฒนธรรมจะเลือนหาย แต่คลองแสนแสบไม่เคยหายไปจากโครงสร้างเมืองอย่างแท้จริง ในช่วงที่ถนนเริ่มอิ่มตัว เรือโดยสารในคลองแสนแสบกลับกลายเป็นหนึ่งในระบบขนส่งที่เร็วและตรงเวลาที่สุดของกรุงเทพฯ เป็นหลักฐานว่าคลองสายนี้ยังคงมีศักยภาพซ่อนอยู่ เพียงแต่ถูกละเลยมาเป็นเวลานาน การกลับมาพัฒนา “ทางเดินเลียบคลองแสนแสบ” ในปัจจุบัน จึงไม่ใช่การสร้างสิ่งใหม่บนพื้นที่ว่างเปล่า แต่คือความพยายามรื้อฟื้นบทบาทดั้งเดิมของคลอง ในฐานะโครงข่ายการสัญจร พื้นที่สาธารณะ และแกนชีวิตของเมือง ให้สอดคล้องกับบริบทเมืองร่วมสมัย

 

47.5 กิโลเมตร จากพระนครถึงหนองจอก เมื่อ “แสนแสบ” พลิกโฉมเมืองอีกครั้ง

 

คลองแสนแสบจึงเปรียบเสมือนบันทึกประวัติศาสตร์มีชีวิต ตั้งแต่ยุคสงคราม การขยายเมือง เศรษฐกิจริมน้ำ ความเสื่อมโทรมจากการพัฒนาแบบหันหลังให้ธรรมชาติ ไปจนถึงความพยายามของกรุงเทพฯ ในศตวรรษที่ 21 ที่จะหันกลับมาทบทวนคำถามพื้นฐานอีกครั้งว่า เมืองควรอยู่ร่วมกับสายน้ำอย่างไร หากไม่ใช่ในฐานะปัญหา แต่ในฐานะโอกาส...

ข่าวล่าสุด

โซ ออริจิ้น ศิริราช โชว์ยอดขาย 97% ชี้กำลังซื้อ Medical Hub แกร่ง