posttoday

เนสท์เล่ มั่นใจไทยยังเป็นประเทศยุทธศาสตร์ทางการตลาดสำคัญ

26 พฤศจิกายน 2563

  เนสท์เล่ ลงทุนอนาคต ทุ่ม 4.5 พันล้านบาท ขยาย 3 โรงงานในไทย รับดีมานด์พุ่ง พร้อมรุกตลาดอีคอมเมิร์ซ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่ 

นายวิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า กล่าวว่า ในปี2563นี้ ถือเป็นปีที่ท้าทาย แต่เนสท์เล่เชื่อมั่นในศักยภาพของตลาดประเทศไทย และมองเห็นถึงการเติบโตในระยะยาว โดยเตรียมงบลงทุนราว 4,500 ล้านบาท เพื่อขยายการลงทุน ใน 3 โรงงานหลัก ได้แก่ โรงงานอมตะ โรงงานบางชัน และ โรงงานยูเอชที นวนคร7 เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง ไอศกรีม และเครื่องดื่มยูเอชที 

สำหรับแผนการขยายโรงงานทั้งสามแห่งในครั้งนี้ มาจากการสำรวจตลาดและความต้องการเชิงลึกของผู้บริโภคชาวไทย ต่อยอดสู่การวางกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจที่นำนวัตกรรมเข้ามาขับเคลื่อน เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีโภชนาการที่ดี รสชาติอร่อย และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคชาวไทย ควบคู่กับการคำนึงถึงความยั่งยืน  ด้วยไทยยังเป็นประเทศยุทธศาสตร์ (Strategic Country) สำคัญในการทำตลาดของภุมิภาคนี้ เจาะ 5 เทรนด์การบริโภคแห่งอนาคต

นายวิคเตอร์ กล่าวต่อถึงผลการสำรวจพบว่า ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลง โดยมีความโดดเด่นใน 5 ด้านดังนี้ 1. เลือกกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้นและมองหาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน 2. ให้รางวัลกับตัวเองด้วยการมองหาของกินเล่นเพื่อช่วยเติมเต็มความสุขระหว่างวัน

3. ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าของสินค้ามากขึ้นโดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจมีความท้าทาย 4.ให้ความสำคัญกับการรักษาสิ่งแวดล้อม และ 5. ช่องทางอีคอมเมิร์ซ และบริการส่งอาหาร (ฟู้ดเดลิเวอรี่) มีการเติบโตสูง เนื่องจากผู้บริโภคหลีกเลี่ยงการออกไปข้างนอก เนสท์เล่จึงนำอินไซต์เหล่านี้เป็นข้อมูลวางกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในครั้งนี้

ทั้งนี้ จากแนวโน้มดังกล่าว เป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันให้เนสท์เล่ ตัดสินใจขยายการลงทุนทั้งสามแห่ง โดยในส่วนของโรงงานอมตะแห่งใหม่ จะเข้ามาเสริมพอร์ตอาหารสัตว์เลี้ยง ด้วย

ปัจจุบันมีคนจำนวนมากที่หันมาเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อนคลายเหงามากขึ้น ทำให้ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว แม้ในช่วงโควิด-19 ที่หลายครอบครัวเริ่มลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น แต่กำลังซื้อในตลาดสัตว์เลี้ยงยังไม่ตก

สอดคล้องกับเทรนด์โลกที่พบว่า ตลาดอาหารสัตว์พรีเมียมมีการขยายตัวสูงเช่นกัน เนื่องจากผู้บริโภคยินดีที่จะจ่ายเงินมากขึ้น เพื่อซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพให้กับสัตว์เลี้ยงของตัวเอง โดยใช้งบลงทุน 2,550 ล้านบาท สร้างโรงงานแห่งใหม่ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต และเสริมพอร์ตโฟลิโอธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงของเนสท์เล่ให้แข็งแกร่งขึ้น โดยโรงงานแห่งใหม่ มีกำหนดเริ่มเดินสายการผลิตในช่วงกลางปี 2564

ขณะที่โรงงานบางชัน เป็นโรงงานผลิตไอศกรีมของเนสท์เล่ ได้ขยายกำลังการผลิตสินค้านวัตกรรมผลิตภัณฑ์สู่ตลาด เพื่อตอบเทรนด์ผู้บริโภคชาวไทยในปัจจุบันที่ให้รางวัลกับตัวเองด้วยการมองหาของกินเล่นเพื่อช่วยเติมเต็มความสุขระหว่างวัน พร้อมริเริ่มนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ไอศกรีมเนสท์เล่ เอ็กซ์ตรีม นามะ ที่ทำจากกระดาษเป็นครั้งแรกของไทยและสามารถรีไซเคิลได้ ทำให้ยอดขายไอศกรีมเนสท์เล่มีการเติบโตในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยใช้งบประมาณ 440 ล้านบาท เพิ่มไลน์การผลิตของโรงงานบางชัน เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ยังได้สร้างโรงงานยูเอชทีแห่งใหม่ คือ โรงงานยูเอชที นวนคร7 เป็นโรงงานผลิตเครื่องดื่มยูเอชที ได้แก่ ไมโล และ นมตราหมี ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลุ่มธุรกิจหลักที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากผลวิจัยของนีลเส็น (Nielsen) พบว่า เครื่องดื่มนมวัวยูเอชทีและเครื่องดื่มช็อกโกแลตมอลต์ยูเอชที จะมีการเติบโตถึง 3% ใน 3 ปีข้างหน้า

สะท้อนให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพและพกพาสะดวกเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคชาวไทยมองหา เนสท์เล่จึงเดินหน้าสร้างโรงงานยูเอชทีแห่งใหม่ด้วยงบประมาณ 1,530 ล้านบาท และเริ่มการผลิตเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา พร้อมตอบโจทย์ผู้บริโภคสายรักษ์โลก ด้วยการนำเสนอนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อย่าง ไมโล ยูเอชที หลอดกระดาษแบบงอได้ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่มีการนำหลอดกระดาษมาใช้ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ยูเอชทีของไทย  และตั้งเป้าลดการใช้หลอดพลาสติกได้มากกว่า 500 ล้านหลอดในปี 2564

นอกจากนี้ เนสท์เล้ ยังขยายแผนธุรกิจอีคอมเมิร์ซ โดยจัดตั้งทีมอีบิสซิเนสขึ้นตั้งแต่ปี 2561 พร้อมลงทุนทั้งด้านระบบและบุคลากรอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีทีมงานเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า และในปีนี้ได้จัดงบลงทุนในอีบิสซิเนส 50 ล้านบาท เพื่อจัดหาเครื่องมือต่างๆรวมทั้งร่วมมือกับพาร์ทเนอร์จัดการอบรมเพื่อให้ก้าวทันกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

โดยพบว่าในส่วนของอีคอมเมิร์ซ ก่อนหน้าที่จะเกิดโควิด-19 ประเทศไทยคาดการณ์อัตราการเติบโตของอีคอมเมิร์ซอยู่ที่ 30% แต่ช่วงที่เกิดโควิด-19 ธุรกิจอีคอมเมิร์ซมีการเติบโตเพิ่มขึ้น 100% เนื่องจากผู้บริโภคหันมาช้อปของใช้ในบ้านและสั่งอาหารออนไลน์มากขึ้น ส่งผลให้ในปี 2563 ยอดขายออนไลน์ของเนสท์เล่โตกว่าเป้าที่ตั้งไว้ถึง 2 เท่า โดยในปีนี้ เนสท์เล่ คาดการณ์อัตราการเติบโตรายได้ตัวเลขหนึ่งหลัก