posttoday

เดอะมอลล์ มองเศรษฐกิจไทยฟื้น ทันทีเปิดประเทศ เงินสะพัดจากนักท่องเที่ยว

24 พฤศจิกายน 2563

เดอะมอลล์ จัดแคมเปญใหญ่ดูด “Big Spending” คนไทยไปต่างประเทศปลายปีไม่ได้ หันช้อปหนักแบรนด์หรู คาดปี63 อุตฯค้าปลีกติดลบ 6% งัด7 กลยุทธ์รับมือปีหน้า

นางสาววรลักษณ์ ตุลาภรณ์ ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ทิศทางเศรษฐกิจในช่วงโค้งสุดท้ายของปีเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้น ทั้งของโลกและภายในประเทศไทย โดยภายในประเทศ ได้แรงกระตุ้นจากมาตรการของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง อาทิ เราเที่ยวด้วยกัน, คนละครึ่ง โดยเฉพาะ “ช้อปดีมีคืน” มาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ไม่เกิน 30,000 บาท ได้เข้ามาสนับสนุนธุรกิจค้าปลีกให้กลับมาคึกคักได้ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี

ทั้งนี้จากข้อมูล สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มองว่า การดำเนินมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ และฟื้นฟูเศรษฐกิจ ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและการใช้จ่าย ภายในประเทศกลับมาฟื้นตัวตามลำดับ พร้อมคาดการณ์ ตัวเลข GDP ปี 2563 ดีขึ้นอยู่ที่ -6%  จากเดิมคาดการณ์ -7.8%

“กำลังซื้อลูกค้าในไตรมาส4 ปีนี้เริ่มกระเตื้องขึ้นต่อเนื่อง จากโครงการต่างๆของภาครัฐที่ออกมากระตุ้นเศรษฐกิจในขณะนี้ โดยเฉพาะลูกค้าเดอะมอลล์ มีสัดส่วนราว 25% หรือคิดเป็น หนึ่งในสี่ ที่จับจ่ายผ่านแคมเปญช้อปดีมีคืน และมีจำนวนมากขึ้นตลอดช่วง 7-10 วัน จากการเก็บตัวเลขที่เริ่มใช้แคมเปญฯนี้” นางสาววรลักษณ์  กล่าว

นางสาวนงลักษณ์ โลหะมาณพ ผู้จัดการใหญ่การตลาด Corporate Promotion บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่าสำหรับปลายปี 2563 นี้มองว่า เป็นโอกาสสำคัญในการทำตลาดเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อผู้บริโภคในประเทศ ผ่านศูนย์การค้าเดอะมอลล์ เอ็มโพเรียม - เอ็มควอเทียร์- พารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ ผ่านแคมเปญแคมเปญ “HAPPIER TOGETHER 2021” ระหว่างวันที่ 30 พ.ย. 63 – 6 ม.ค. 64 นอกจากนี้ยังร่วมกับพันธมิตรธนาคารไทยพาณย์ จัดแคมเปญ “SCB M ซานตี้ท้าช้อป” ระหว่างวันที่ 21-31 ธ.ค. 63 ช้อปผ่านบัตร SCB  M  คู่กับบัตร M Card เพื่อรับส่วนลดต่างๆ โดยคาดยอดขายจากแคมเปญนี้รวมกว่า 5,900 ล้านบาท

“ในปีนี้ถึงต้นปีหน้า มีกลุ่มคนไทยที่มีกำลังซื้อสูงจำนวนหนึ่งที่งดเดินทางไปต่างประเทศ ซึ่งพบว่าเป็นอีกหนึ่งกลุ่มเป้าหมายสำคัญที่จะหันมาจับจ่ายซื้อสินค้าระดับลักชัวรีในประเทศไทย มากขึ้น สอดคล้องกับข้อมูลในช่วงที่้ผ่านมาพบว่า ร้านค้าสินค้าไฮแบรนด์เนมในศูนย์การค้า มียอดขายสูงขึ้น” นางสาวนงลักษณ์ กล่าว 

นอกจากนี้ นางสาววรลักษณ์ เสริมว่าในปี 2564  คาดการณ์การ GDP อยู่ที่ 3.5% - 4.5%  ปัจจัยบวกมาจาก มาตรการป้องกันและควบคุมการระบาดของไทย พร้อมทั้งแรงกระตุ้นจากมาตรการของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการผ่อนปรนการเดินทางเข้าประเทศสำหรับนักท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่ม อาทิ กองถ่ายภาพยนตร์, ผู้มาเข้าร่วมงานแสดงสินค้า, กลุ่มผู้มีกำลังซื้อสูง และ กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติแบบพิเศษ (Special Tourist Visa (STV))   (ข้อมูลสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ณ 16 พ.ย. 2563)

โดยในปีหน้า เดอะมอลล์ เตรียมใช้ 7 กลยุทธ์หลักดำเนินธุรกิจค้าปลีกศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้า คือ 1.Customer Experience สร้างประสบการณ์พิเศษให้กับลูกค้าด้วยหลากหลายกิจกรรม 2.Digitization : Gamification นำเทคโนโลยี และดิจิทัลในการทำการตลาดแบบครบวงจร ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ เพื่อเข้าถึงความต้องการของฐานลูกค้าหลัก คือ ลูกค้า M Card ซึ่งมีกว่า 4.2 ล้านราย และลูกค้า SCB M VISA ที่มีกว่า 8 แสนคน

3.Omni-Channel : O2O  Omni Channel Retailers นำดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่น มาเป็นตัวช่วยในการวางแพลทฟอร์มช่องทางการจำหน่ายสินค้าให้มากที่สุดและครบทุกช่องทาง 4.Collaboration การผนึกกำลังร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจที่มีกลุ่มลูกค้าเหมือนกัน ในการทำแคมเปญและกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งขยายฐานกลุ่มลูกค้ามากขึ้น

5.Value Equation มอบความคุ้มค่าในเรื่องสิทธิประโยชน์สูงสุดให้กับลูกค้า และ พาร์ทเนอร์ 6.Food / SME Marketing ย้ำความเป็นผู้นำด้าน Food Destination และการจัด Food Event ที่ประสบความสำเร็จ พร้อมเปิดพื้นที่ให้กลุ่ม SME ขยายช่องทางการจัดจำหน่ายเพิ่มมากขึ้น และ 7.CSR / Eco / Community โดยดำเนินธุรกิจเคียงคู่ไปกับความรับผิดชอบต่อสังคม

“ทันที่ที่เปิดประเทศไทยแล้ว จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่เข้ามาปลดล็อคภาคค้าปลีกและเศรษฐกิจในประเทศให้ฟื้นคืนกลับมาได้ ด้วยอุตสาหกรรมเศรษฐกิจต่างๆในภาพรวมต่างมีความเกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามายังไทย” นางสาววรลักษณ์ กล่าว

ทั้งนี้ จากการจัดแคมเปญและกิจกรรมต่างๆ เพื่อต้อนรับเทศกาลปีใหม่นี้ จะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อลูกค้าในช่วงปลายปีและช่วยเพิ่ม Traffic ในศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้า เดอะมอลล์ เอ็มโพเรียม เอ็มควอเทียร์ และพารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ 20% จากช่วงเวลาปกติ และคาดว่าจะสร้างยอดขายสิ้นปี 2563 ได้ 50,000 ล้านบาท จากในปัชี 2562 อยู่ที่ 52,000 ล้านบาท