posttoday

ปิดดีล RCEP “ไทย” ไม่ได้ประโยชน์มากอย่างที่คิด

14 พฤศจิกายน 2563

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จับตา RCEP กรอบการค้าเสรีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก... FTA ที่เปิดกว้างที่สุดเท่าที่ไทยเคยมี แต่ไม่ว่าไทยจะเลือกกรอบการค้าเสรีทางไหน ก็ยังต้องปรับตัวอยู่ดี

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานว่า ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) กรอบการค้าเสรีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ในที่สุดสามารถบรรลุการเจรจา โดยจะลงนามความตกลงระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนในวันที่ 15 พฤศจิกายน2563 ซึ่งเมื่อแต่ละประเทศให้สัตยาบันก็น่าจะเริ่มเปิดเสรีได้ในช่วงครึ่งหลังปี 2564

ขณะเดียวกัน ยังมองว่า แม้อาเซียนจะมี FTA กับจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์อยู่แล้ว แต่การรวมเป็น RCEP โดยมีเป้าหมายการเปิดเสรีในด้านต่างๆ ให้มากที่สุด ส่วนหนึ่งเพื่อสร้างความน่าสนใจให้ทัดเทียมกับ CPTPP

แต่ในความเป็นจริงทั้งสองความตกลงไม่สามารถทดแทนกันได้ โดยเฉพาะการเชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิตที่ RCEP เน้นหนักไปยังภูมิภาคเอเชีย ขณะที่ CPTPP น่าสนใจตรงที่สามารถเชื่อมห่วงโซ่การผลิตกับในภูมิภาคอเมริกาได้มากกว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังมองต่อไปว่า ในความเป็นจริงแล้วสินค้าไทยที่ได้ประโยชน์เพิ่มเติมจากความตกลง RCEP นี้มีไม่มากเพราะส่วนใหญ่เปิดเสรีการค้าไปแล้ว แต่การเคลื่อนย้ายสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการผลิตที่อยู่ในเครือข่ายห่วงโซ่การผลิตของนักลงทุนน่าจะทำให้ไทยได้อานิสงส์เพิ่มเติม อาทิ เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก ยานยนต์และส่วนประกอบ เซมิคอนดักเตอร์และ ICs อีกทั้ง RCEP ยังเอื้อให้ไทยสามารถเกาะติดไปกับห่วงโซ่การผลิตของเอเชียได้อย่างเหนียวแน่ยิ่งขึ้น  

อย่างไรก็ดี คงต้องยอมรับว่า FTA เป็นอีกปัจจัยที่นักลงทุนต่างชาติเองก็ให้ความสำคัญในการวางแผนขยายธุรกิจด้วยเช่นกัน ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ถึงเวลาแล้วที่ไทยต้องเลือกว่า

1. ปรับตัวให้สอดรับกับมาตรฐานของความตกลง FTA ที่มีมาตรฐานสูง โดยเข้าร่วมเจรจากับCPTPP หรือเจรจากับสหรัฐฯ สหภาพยุโรป ตลอดจนอังกฤษ หรือ2. ปรับตัวให้เป็นที่น่าสนใจของนักลงทุนต่างชาติแม้ไม่มี FTA กับชาติตะวันตก

ซึ่งไม่ว่าจะทางไหนไทยก็ต้องปรับตัว เพราะมีทั้งผู้ที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ซึ่งภาครัฐบาลไทยต้องเตรียมมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอยู่ดี