posttoday

"บิ๊กตู่" กล่อมเอกชนเชื่อมั่นอีอีซี โชว์ 8 เดือนลงทุนทะลุ 8 หมื่นล้าน

01 ตุลาคม 2563

นายกรัฐมนตรี ชวนเอกชนลุยลงทุน 'อีอีซี' ต่อเนื่อง ภาครัฐพร้อมสนับสนุนทุกด้าน การันตีแนวทางส่งเสริมทุกขั้นตอนโปร่งใสเป็นธรรม เผยยอดขอลงทุน 8 เดือน กว่า 8.5หมื่นล้านบาท

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมพร้อมมอบนโยบายการเชื่อมโยงท่าเรือแหลมฉบังกับนานาชาติ โดยมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รมช.คมนาคม นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เลขาธิการอีอีซี เลขาธิการบีโอไอ ผู้บริหารระดับสูง (ซีอีโอ ) จากบริษัทชั้นนำของไทยและต่างประเทศ ร่วมหารือแนวทางการเชื่อมโยงท่าเรือแหลมฉบังกับนานาชาติ ณ สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี

ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวต้อนรับและขอบคุณนักลงทุนที่เชื่อมั่นและมีการขยายการลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) ที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง วันนี้ หวังสร้างความเข้าใจตรงกันกับทุกฝ่ายว่า นี่คือโอกาสในการลงทุนและเป็นความท้าทายของรัฐบาล ในการจะขับเคลื่อนแผนพัฒนาประเทศ โครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศไทยทั้งคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ แม้ว่าจะเจอกับปัญหาที่เพิ่มขึ้น ในช่วง โควิด-19 รัฐบาลก็ไม่เคยหยุดคิด ยังคงมุ่งทำงานเพื่อวางรากฐานประเทศให้ขับเคลื่อนต่อไป ยืนยันว่ารัฐบาลจะทำงานอย่างเต็มที่ในการส่งเสริมการลงทุนของนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ ด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม ทุกการลงทุนในทุกพื้นที่ทั้ง อีอีซี และระเบียงเศรษฐกิจพิเศษที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ทั้งนี้ไทยยังเป็นประเทศแรกที่นำหลักการด้านสิทธิมนุษยชนมาใช้ในภาคธุรกิจด้วย อย่างไรก็ดีที่ผ่านมาได้ระดมทุกฝ่ายมาช่วยกันแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบทุกกลุ่ม ผ่านทางมาตรการด้านการเงินและการคลัง รวมทั้งเร่งส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานใหม่ โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ กระทรวงแรงงานได้จัดงาน JOB EXPO รวบรวมงานทั้งในประเทศและต่างประเทศกว่า 1 ล้านอัตรา ซึ่งรวมทั้งการจ้างงานกลุ่มนักศึกษาจบใหม่ โดยได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนเป็นอย่างดีอีกด้วย ซึ่งเป็นมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะสั้น

นอกจากนี้ยังมีการวางรากฐานการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว ตามทิศทางของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ โดยเฉพาะระบบคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ พัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย ยกระดับขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงโครงการอีอีซี ที่ได้เริ่มมาตั้งแต่ปี 2560 เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ตอบโจทย์การลงทุนของอุตสาหกรรมเป้าหมายแห่งอนาคต และเป็น Logistics Hub ของภูมิภาค ซึ่งได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก มีคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ อีอีซี เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ช่วงวิกฤติโควิด การลงทุนใน อีอีซี ก็ยังอยู่ในระดับสูง ช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา มีคำขอรับการส่งเสริมในอีอีซี จำนวน 277 โครงการ และมีมูลค่าเงินลงทุนกว่า 85,000 ล้านบาท โดยคิดเป็นสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 54 ของคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนทั้งประเทศ

ทั้งนี้โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ต่างๆใน อีอีซี ทั้งโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โครงการเมืองการบินอู่ตะเภา โครงการขยายท่าเรือแหลมฉบังและมาบตาพุด รวมทั้งโครงการพัฒนาเขตนวัตกรรม อีอีซีไอ ที่จังหวัดระยอง ได้ผู้ชนะการประมูลครบถ้วนแล้ว อย่างไรก็ตามนายกรัฐมนตรี ยังเชิญชวนนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ ทั้งการลงทุนในไทยทั้งระยะสั้นและระยายาว พร้อมให้ความมั่นใจว่ารัฐบาลเตรียมความพร้อมทั้งด้านโลจิสติกส์ ระบบรถไฟความเร็วสูง สาธารณูปโภค แหล่งน้ำเพื่อการบริโภคและอุตสาหกรรม รวมทั้งแรงงานฝีมือทั้งในและนอกระบบเพื่อตอบสนองการลงทุนของภาคเอกชน ซึ่งขอเชิญชวนให้เอกชนแสวงหาโอกาส หรือเพิ่มการลงทุนที่ก่อให้เกิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ตามมาอีกมากมาย เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล ผลิตภัณฑ์สมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ ไปจนถึงอุตสาหกรรมด้านการแพทย์ เกษตรและอาหาร ซึ่งไทยพร้อมและมีศักยภาพ สำหรับข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากภาคเอกชนก็จะรับไปดำเนินการ เพื่ออำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจและขยายการลงทุนในไทยต่อไป