posttoday

‘เอสซีจี’ โชว์กำไร 9,384 ล้าน เร่งเครื่องธุรกิจ สู้ศึกโควิด-19

29 กรกฎาคม 2563

‘เอสซีจี’ปรับตัวรับมือโควิด รักษาเสถียรภาพธุรกิจระยะยาวพัฒนาตอบโจทย์ความต้องการลูกค้ายุค New Normal ควบคู่กับการใช้ดิจิทัลดันช่องทางค้าปลีกออนไลน์ ชูธุรกิจแพคเกจจิ้งดาวเด่นเติบโตในตลาดอาเซียน

นายรุ่งโรจน์   รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ เอสซีจี เปิดเผยว่า ช่วงไตรมาสที่ 2  ปี 2563 มีรายได้จากการขาย 96,010 ล้านบาท ลดลง12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ลดลง  9% จากไตรมาสก่อน  แต่มีกำไร 9,384 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 33% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากผลการดำเนินงานของธุรกิจหลักที่ดีขึ้น การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและการจัดการการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจและเพิ่มขึ้น 35% จากไตรมาสก่อนจากผลการดำเนินงานของธุรกิจเคมิคอลส์ที่ดีขึ้น

สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2563 เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 201,751 ล้านบาทลดลง 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวลดลงโดยมีกำไรสำหรับงวด 16,355 ล้านบาท ลดลง 13 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ลดลงในไตรมาสที่ 1 ปี 2563

ด้านธุรกิจแพคเกจจิ้ง ในไตรมาสที่ 2 ปี 2563 มีรายได้จากการขาย 21,636 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนจากการซื้อธุรกิจและลดลง 11% จากไตรมาสก่อนเนื่องจากความต้องการซื้อสินค้าที่ลดลงในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

‘เอสซีจี’ โชว์กำไร 9,384 ล้าน เร่งเครื่องธุรกิจ สู้ศึกโควิด-19

ขณะที่ความต้องการบรรจุภัณฑ์ของสินค้าอุปโภค-บริโภค เเละบรรจุภัณฑ์สำหรับ E-commerce เพิ่มขึ้นโดยมีกำไรสำหรับงวด 1,904 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 94% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 10 % จากไตรมาสก่อน จากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน

สำหรับภาพรวมครึ่งปีแรกของปี 2563 ธุรกิจแพคเกจจิ้ง มีรายได้จากการขาย 45,903 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสำหรับงวด 3,636 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 40% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ส่วนธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ในไตรมาสที่ 2 ปี 2563 มีรายได้จากการขาย 42,506 ล้านบาทลดลง 7 %จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและลดลง 8% จากไตรมาสก่อนเนื่องจากความต้องการของตลาดลดลงจากมาตรการปิดเมืองโดยมีกำไร 1,944 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 211 %จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และมีรายการปรับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานในไตรมาสที่ 2 ปี 2562  และลดลง 30 %จากไตรมาสก่อน เนื่องจากมาตรการปิดเมือง ปัจจัยด้านฤดูกาล และขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ในไตรมาสที่ 2 ปี 2563 โดยครึ่งปีแรกมีรายได้จากการขาย 88,751 ล้านบาท ลดลง 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

‘เอสซีจี’ โชว์กำไร 9,384 ล้าน เร่งเครื่องธุรกิจ สู้ศึกโควิด-19

ด้านธุรกิจเคมิคอลส์ ในไตรมาสที่ 2 ปี 2563 มีรายได้จากการขาย 34,758 ล้านบาท ลดลง 24 %จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 9 %จากไตรมาสก่อนเนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลง โดยมีกำไร 4,564 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาวัตถุดิบที่ลดลง และเพิ่มขึ้น 157% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากปริมาณขายและส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น

นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า ในช่วงที่ต้องเผชิญกับภาวะวิกฤตจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้เตรียมแผนการรองรับได้ทันท่วงที โดยดำเนินธุรกิจให้มีโฟกัสมากยิ่งขึ้นทั้งการเตรียมพร้อมรับมือในกรณีที่เกิดสถานการณ์เลวร้ายที่สุดเช่น การเตรียมการขายและการขนส่งล่วงหน้าหากมีการปิดเมืองการปรับกำลังการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นควบคู่กับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลต่างๆ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและคุ้มค่าที่สุด 

นอกจากนี้ธุรกิจแพคเกจจิ้ง มีศักยภาพที่โดดเด่น อันเป็นผลจากการดำเนินนโยบายขยายธุรกิจด้วยการควบรวมกิจการ (Merger & Partnership) อาทิ PT Fajar Surya Wisesa Tbk. ผู้นำธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์ในอินโดนีเซีย และ Visy Packaging (Thailand) Limited รวมถึงการวางแผนการลงทุนใน Bien Hoa Packaging Joint Stock Company หรือ SOVI ในเวียดนาม ที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจเติบโต ครอบคลุมทั้งภูมิภาคอาเซียน และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ 

ขณะเดียวกันก็ได้เฝ้าสังเกตการเปลี่ยนแปลงและการเติบโตของตลาดทั้งธุรกิจ e-commerce การสั่งอาหารออนไลน์ และพฤติกรรมบริโภคที่ใส่ใจดูแลสุขอนามัยเพิ่มขึ้น เพื่อให้สามารถส่งมอบนวัตกรรมโซลูชัน สินค้าและบริการ ที่ตอบความต้องการของผู้บริโภคและโอกาสทางการตลาดได้อย่างทันท่วงที จึงทำให้ผลประกอบการของเอสซีจีในไตรมาสที่ 2 และครึ่งปีแรกของปี 2563 ได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อยจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว 

ทั้งนี้คณะกรรมการบริษัทอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2563 ในอัตรา 5.5 บาทต่อหุ้น เป็นเงิน 6,600 ล้านบาท