posttoday

หลังปลดล็อคเฟส3 หนุนธุรกิจกลุ่มเสี่ยงมีเงินสะพัด 2 แสนล.

12 มิถุนายน 2563

หอการค้าฯ ไขทิศทางประเทศไทย หลังคลายล็อกดาวน์ เฟส 3 แนะธุรกิจปรับตัวสร้างมาตรฐานความปลอดภัย ระบุรัฐต้องมีแผนเปิดประเทศและฟื้นฟูเศรษฐกิจ สร้างเชื่อมั่นประชาชน

รายงานข่าวเผยว่า เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.2563 สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ ภาคเอกชน นำโดยหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ร่วมกับหน่วยงานภาคสาธารณสุข ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม จัดโครงการเปิดเมือง ปลอดภัย พร้อมจัดงานสัมมนาออนไลน์ “ร่วมฝ่าวิกฤตโควิด-19 รับมือมาตรการผ่อนปรน ระยะที่ 3” ระดมวิทยากรระดับประเทศ ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ทิศทางประเทศไทยหลังคลายล็อคดาวน์ ระยะที่ 3 เพื่อร่วมขับเคลื่อนโครงการเปิดเมือง ปลอดภัย

นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะทำงานกลุ่มมาตรการสำหรับการกลับมาเปิดธุรกิจใหม่ ภายใต้คณะที่ปรึกษาด้านธุรกิจภาคเอกชนในศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. เปิดเผยว่า หอการค้าไทยฯ ได้มีส่วนร่วมกับ ศบค. ในการสนับสนุนมาตรการหยุดยั้งการแพร่กระจายของโควิด-19 และได้มีข้อเสนอของภาคเอกชนในหลายประเด็นตั้งแต่เริ่มต้น อาทิ

มาตรการสำหรับการกลับมาเปิดธุรกิจใหม่ และมาตรการสำหรับ การเปลี่ยนผ่านเบื้องต้นในการปรับพฤติกรรมของประชาชน การเตรียมความพร้อมการเปิดสถานประกอบการภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ข้อปฏิบัติพื้นฐานที่ทุกสถานประกอบการต้องปฏิบัติและคู่มือสำหรับสถานประกอบการ มาตรการเพื่อช่วยเหลือธุรกิจ และผู้ประกอบการ การส่งเสริมการทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) การจัดทำระบบเพื่อช่วยเหลือผู้ตกงาน และการศึกษาแนวทางการปรับตัวของธุรกิจในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบรุนแรง

สำหรับมาตรการผ่อนปรน (คลายล็อกดาวน์) ระยะที่ 3 จะทำให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งหอการค้าไทยฯ ประเมินว่าหลังคลายล็อกดาวน์ ระยะที่ 3 สำหรับกิจการและกิจกรรมในกลุ่มสีเหลือง ซึ่งมีความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระดับปานกลางถึงสูง ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2563 จะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจประมาณ 1-2 แสนล้านบาท และตั้งแต่มีการคลายล็อกดาวน์ระยะที่ 1 ในกลุ่มสีขาวหรือความเสี่ยงต่ำ และมีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2563 และ ระยะที่ 2 ในกลุ่มสีเขียวหรือความเสี่ยงปานกลาง วันที่ 17 พฤษภาคม 2563 ส่งผลให้มีเม็ดเงินเข้ามาในระบบเศรษฐกิจ 2 แสนล้านบาท

และจากการประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2563 (ณ เดือนพฤษภาคม 2563) ของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ประเมินว่า GDP ของประเทศไทยจะติดลบ 3-5% ซึ่งเป็นระดับดีกว่าที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินว่าจะติดลบ 6.7% เนื่องจากภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ มีมาตรการเยียวยาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง

นายกลินท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในวันที่ 12 มิ.ย. ทาง ศบค. จะมีการประกาศมาตรการผ่อนปรน ระยะที่ 4 ให้กิจการและกิจกรรมอีกหลายประเภทกลับมาดำเนินธุรกิจได้ภายใต้มาตรการที่ภาครัฐกำหนดเพื่อสร้างความเชื่อมั่น ให้ประชาชน และเศรษฐกิจไทยเดินหน้าต่อไปได้ และที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การเปิดประเทศและการฟื้นฟูเศรษฐกิจซึ่งต้องดูเปรียบเทียบประเทศอื่นๆ

รวมถึงกำหนดกระบวนการที่ชัดเจนในการจะอนุญาตให้ชาวต่างชาติ ทั้งนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวเข้าประเทศในอนาคต เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนไทยว่าจะไม่เกิดการแพร่ระบาดระลอก 2 (Second Wave) จากการให้คนต่างชาติเข้าประเทศ รวมทั้งมาตรการต่างๆ ของภาครัฐที่จะมีออกมา เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังนี้ รัฐบาลจะต้องดูแลในเรื่องของผู้ว่างงาน และแผนการพัฒนาประเทศ

รวมถึง การเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณให้ได้ตามเป้าหมาย เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ หลังจาก พ.ร.ก. กู้เงิน ผ่านการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว