posttoday

คงเป้าส่งออกไทยปีนี้ติดลบ 8% จี้ธปท.คุมค่าเงินไม่เกิน 34 บาท

02 มิถุนายน 2563

สรท.ยังไม่ทบทวนเป้าหมายส่งออกคาดยังติดลบ 8% จับตาปัจจัยเสี่ยงค่าเงินบาทแข็งค่า ความขัดแย้งสหรัฐ-จีนเริ่มปะทุอีกรอบหนุนรัฐบาลร่วมวงเจรจา CPTPP สร้างแรงกระตุ้นทางเศรษฐกิจ

น.ส.กัณญภัค ตันติพิพัฒนพงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยสถานการณ์การส่งออกเดือนเม.ย. 2563 มีมูลค่า 18,948 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 2.12% เทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน ขณะที่การนำเข้าเดือนเม.ย. มีมูลค่า 16,486 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัว -17.13 % ส่งผลให้ เกินดุลการค้า 2,462 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 72,960 ล้านบาท (การส่งออกเมื่อหักทองคำ น้ำมันและอาวุธยุทธปัจจัย เดือนเม.ย.การส่งออกติดลบ7.53%) โดยภาพรวมช่วงเดือนม.ค.- เม.ย. การส่งออกมีมูลค่า 81,620 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 1.19% ฃ

ทั้งนี้สรท.ยังคงเป้าการส่งออกไทยปีนี้ไว้ที่่ติดลบ 8% โดยยังมีปัจจัยเสี่ยงที่อาจเป็นอุปสรรคสำคัญได้แก่ 1.ความไม่แน่นอนของการระบาด โควิด-19 ระยะต่อไป ทำให้หลายประเทศยังคงมาตรการล็อคดาวน์อย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและอาจส่งผลให้ความต้องการสินค้าของตลาดโลกลดลง โดยเฉพาะสินค้าคงทนและสินค้าอุตสาหกรรม

2.ค่าเงินบาทที่เริ่มมีแนวโน้มกลับมาแข็งค่าขึ้นตลอดเดือนพ.ค.เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดในไทยมีการจัดการที่ดีกว่าหลายประเทศ ทำให้ถูกมองว่าเป็น Safe heaven อีกครั้ง ประกอบกับตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ต่ำกว่าคาดการณ์ กลายเป็นปัจจัยกดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง อาจส่งผลกระทบกับความเปราะบางของเศรษฐกิจ และซ้ำเติมผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา

3.ราคาน้ำมันที่เริ่มกลับมาสู่ขาขึ้นได้อีกครั้งหลังจากสถานการณ์ระบาดโควิด-19 ในหลายประเทศเริ่มคลี่คลาย และมีการผ่อนคลายมาตรการปิดเมือง ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันดิบเริ่มกลับมาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีแรงหนุนจากข้อตกลงของกลุ่มโอเปกและพันธมิตร เพื่อปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบลง 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งอาจส่งผลต่อต้นทุนของผู้ประกอบการส่งออกที่เพิ่มสูงขึ้น

และ 4. ความขัดแย้งที่เริ่มกลับมาปะทุอีกครั้งระหว่างสหรัฐฯและจีน จากการที่สหรัฐอเมริกากล่าวหาว่าจีนเป็นต้นเหตุของการแพร่ระบาดและมีแนวโน้มที่จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศจีน รวมถึงการเพิกถอนการจดทะเบียนของบริษัทสัญชาติจีนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ และการกดดันจีนผ่านการสนับสนุนผู้ประท้วงในฮ่องกง ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่เพิ่มแรงกดดันของการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจทั่วโลกได้

ทางสรท.ได้จัดทำข้อเสนอแนะเพื่อรักษาการส่งออกของไทยไว้ คือ 1.ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) รักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนไม่ให้แข็งค่ากว่า 34 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ 2. เร่งใช้งบประมาณภาครัฐเพื่อลงทุนสร้างความยั่งยืนให้กับระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการปรับตัวไปสู่ Digital disruption ของภาครัฐ

3.สนับสนุนให้ประเทศไทยเข้าร่วมเจรจา CPTPP เพื่อสร้างแรงกระตุ้นให้กับระบบเศรษฐกิจ โดยสงวนสิทธิ์ให้สามารถถอนตัว หากทราบรายละเอียดเงื่อนไขหรือไม่สามารถเจรจาให้เกิดประโยชน์ในภาพรวมของประเทศ รวมถึง เร่งผลักดันการเจรจา FTA อื่นๆ อาทิ RCEP Thai-EU เป็นต้น

4. พิจารณาการค้าในรูปแบบ Trade to Localization มุ่งเน้นไปที่ประเทศเพื่อนบ้านใน ASEAN and CLMV (CLMV is our home market) เนื่องจากเป็นตลาดที่ใกล้ชิด และสามารถขนส่งข้ามแดนได้โดยง่าย และสนับสนุนให้มีการกำหนดนโยบายเพื่อสร้างตลาดเป็นหนึ่งเดียว (Single market) และพัฒนาแผนการขนส่งข้ามแดนที่สามารถปฏิบัติได้ต่อเนื่อง

5.ขอให้ภาครัฐพิจารณาส่งเสริมรายอุตสาหกรรมที่มี Potentialที่เกี่ยวเนื่องในช่วงสถานการณ์ดังกล่าวเพื่อกระตุ้นปริมาณการส่งออก อาทิ สินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ยาง (ในกลุ่มเวชภัณฑ์ทางการแพทย์) กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ กลุ่มผลิตภัณฑ์พลาสติก และ 6. เสนอให้ ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พิจารณาปลดล็อคธุรกิจทั้งทางด้านการค้าและบริการ ในภาคส่วนต่างๆ เพิ่มเติมภายใต้การติดตามควบคุมอย่างใกล้ชิดเพื่อให้ธุรกิจสามารถกลับมาดำเนินกิจกรรมได้คล่องตัวมากขึ้น