เอกชนมองเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังยังชะลอตัว เจอหลายปัจจัยเสี่ยงรุม

กกร. ห่วงเศรษฐกิจไทยยังเผชิญความท้าทาย จากปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจโลก ปมสงครามการค้าส่อรุนแรงขึ้น หวังมาตรการระยะสั้นจากภาครัฐกระตุ้นใช้จ่ายในประเทศ เรียกความเชื่อมั่น

นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.)ประกอบด้วย สมาคมธนาคารไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าไทย เปิดเผยภายหลังการประชุมกกร. ว่า ได้ประเมินเศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งแรกของปี 2562 (ม.ค.-มิ.ย) จากเครื่องชี้วัดเศรษฐกิจที่สำคัญทั้งการส่งออกและการใช้จ่ายภายในประเทศมีสัญญาณที่อ่อนแรงลงต่อเนื่อง โดยในไตรมาสที่ 2 ปี 2562 เครื่องชี้ส่วนใหญ่มีทิศทางที่ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับไตรมาสแรก สะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าไตรมาสแรกที่ขยายตัว 2.8%

ทั้งนี้ช่วงครึ่งปีหลัง เศรษฐกิจไทยยังเผชิญความท้าทายจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐฯ เตรียมปรับขึ้นภาษีนำเข้าในอัตรา 10% ต่อสินค้าจีนวงเงิน 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ มีผลวันที่ 1 กันยายนนี้ ขณะที่จีนได้ปรับค่าเงินหยวนอ่อนค่าหลุดระดับ 7 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่าที่สุดในรอบ 11 ปี โดยสหรัฐฯ ได้ระบุว่าจีนเป็นประเทศที่บิดเบือนค่าเงิน (Currency Manipulator) ซึ่งน่าจะนำมาสู่มาตรการเพิ่มเติมจากฝั่งสหรัฐฯ และส่งผลให้สงครามการค้ามีความเสี่ยงที่อาจจะรุนแรงมากขึ้น

นอกจากนี้ มีความเป็นไปได้มากขึ้นที่สหราชอาณาจักรอาจจะต้องออกจากสหภาพยุโรปโดยไร้ข้อตกลง(No Deal Brexit) ในวันที่ 31 ตุลาคม ปัจจัยดังกล่าว สร้างแรงกดดันเพิ่มต่อทิศทางเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงอยู่แล้ว และเมื่อประกอบกับความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ที่ทำให้เงินบาทยังมีแนวโน้มแกว่งผันผวนและอาจปรับแข็งค่าขึ้น เป็นแรงกดดันที่ไม่เอื้อต่อภาพการฟื้นตัวของการส่งออกของไทยในช่วงที่เหลือของปี

อย่างไรก็ตาม แรงหนุนต่อเศรษฐกิจไทย ต้องหวังพึ่งพาการใช้จ่ายภายในประเทศ โดยเฉพาะมาตรการระยะสั้นจากภาครัฐ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากภาวะภัยแล้ง และการเรียกฟื้นความเชื่อมั่นของภาคเอกชน ซึ่งกกร. จะติดตามสถานการณ์ต่างๆ เพื่อประเมินทิศทางการปรับตัวของเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิดต่อไป ขณะนี้ยังไม่ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ การส่งออก และอัตราเงินเฟ้อ ในปี 2562 ไว้ตามกรอบเดิม โดยคาดการณ์จีดีพีปีนี้ไว้ที่ 2.9-3.3% การส่งออกติดลบ1% ถึง ขยายตัว 1% ส่วนอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 0.8-1.2%