“สนธิรัตน์” เดินหน้าอุ้มราคาพลังงานผ่านบัตรคนจนต่อ!!
รมว.พลังงานนัดถกปลัดกระทรวง 22 ก.ค.นี้ กำหนดเรื่องเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการ เล็งทบทวนบัตรคนจนเคาะลดราคาก๊าซหุงต้มให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย หนุนไอเดียปตท.ผลิตพลังงานจากพืชเกษตร
รมว.พลังงานนัดถกปลัดกระทรวง 22 ก.ค.นี้ กำหนดเรื่องเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการ เล็งทบทวนบัตรคนจนเคาะลดราคาก๊าซหุงต้มให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย หนุนไอเดียปตท.ผลิตพลังงานจากพืชเกษตร
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวภายหลังเป็นประธาน การประชุมระดมความคิดเห็นเพื่อกำหนดทิศทางและนโยบายของกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่หน่วยงานสังกัดกระทรวงพลังงาน ว่า การระดมความคิดเห็นเพื่อใช้เป็นแนวทางกำหนดทิศทางและนโยบายของกระทรวงพลังงานต่อไป โดยมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นพลังงานทั้งด้านไฟฟ้า ก๊าซธรรมชาติ น้ำมันเชื้อเพลิง พลังงานทดแทน และอนุรักษ์พลังงาน โดยได้หารือถึงนโยบายสำคัญที่จะต้องเร่งผลักดัน รวมถึงข้อจำกัด และอุปสรรคต่างๆ ในการดำเนินการ เพื่อให้การดำเนินการด้านพลังงานเดินหน้าต่อไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์ต่อประชาชน และภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศอย่างสูงสุด
ทั้งนี้ในวันที่ 22 ก.ค.นี้จะหารือร่วมกับกนายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เพื่อกำหนดวาระเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการทันทีมีเรื่องอะไรบ้าง ส่วนโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือบัตรคนจน ในส่วนของการช่วยเหลือด้านพลังานนั้น จะเดินหน้าต่อไป โดยจะพิจารณาทบทวนเเงื่อนไขเดิมให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันมากขึ้นและเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย
ปัจจุบันมาตรการช่วยเหลือด้านพลังงาน เช่นส่วนลดการซื้อก๊าซหุงต้ม(แอลพีจี) 45 บาท/3 เดือน สำหรับร้านที่ติดเครื่อง อีดีซีแล้ว ส่วนมาตรการช่วยเหลือผู้ที่ใช้เอ็นจีวี ทั้งรถแท็กซี่ และรถสาธารณะ ซึ่งขณะนี้มอบให้บริษัทปตท.ดำเนินการช่วยเหลือนั้น จะต้องมาพิจารณาให้ตรงกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
นอกจากนี้ยังสนับสนุนแนวคิดของนายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปตท. ที่เสนอให้มีการนำพลังงานบนดิน จากพืชเกษตรมาขับเคลื่อนนโยบาย โดยใช้ความเข้มแข็งของภาคเกษตร ทั้งปาล์มน้ำมัน และอ้อย มาทำให้เกิดมูลค่า ลดการนำเข้าพลังานจากต่างประเทศ
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ได้มอบหมายให้แต่ละหน่วยงาน ดำเนินงานทุกอย่างโดยยึดถือประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง คำนึงถึงจุดแข็งของประเทศไทยเป็นหลัก ส่งเสริมการแข่งขันของภาคเอกชนตั้งแต่ระดับชุมชนที่เป็นเศรษฐกิจฐานราก โดยเน้นการเชื่อมโยงช่วยเหลือชุมชนให้มีการพัฒนาศักยภาพในการผลิตและต่อยอดสินค้าไปในตลาดที่ใหญ่ขึ้น มุ่งเน้นสนับสนุนให้ชุมชนต่อยอดอาชีพ สร้างความเข้มแข็ง และพัฒนาศักยภาพชุมชนได้อย่างยั่งยืน
ส่วนประเด็นข้อขัดแย้งทางความคิด อาจจะมีปัญหาเรื่องข้อมูลที่ไม่ตรงกัน จะต้องมีการศึกษาอย่างจริงจังเพื่อให้สร้างความเชื่อถือในข้อมูลร่วมกัน และเดินไปในทิศทางเดียวกัน
"ทุกหน่วยงานต้องทำงานแบบบูรณาการ ไม่ใช่มองแค่เป้าหมายของหน่วยงานตัวเอง ต้องคำนึงถึงภาพรวม หลังจากนี้จะมีการกำหนดกรอบการทำงานในระยะ3เดือน มีเรื่องใดที่ต้องดำเนินการบ้างทั้งในระยะสั้นและระยะยาว "นายสนธิรัตน์ กล่าว