ทรัมป์มา ทองร่วง
โดย...นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานบริษัท เอ็มทีเอสโกลด์ แม่ทองสุก
โดย...นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานบริษัท เอ็มทีเอสโกลด์ แม่ทองสุก
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่ผ่านมาสร้างความแปลกประหลาดใจต่อตลาดการเงินและตลาดทองคำเป็นอย่างมาก เพราะปรากฏว่า ความพลิกโผของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยการที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ จะเป็นว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 45 ในช่วงกลางเดือนมกราคมปีหน้าที่จะมาถึง ถือเป็นการพลิกความคาดหมายอย่างมาก โดยแต่เดิมมีการคาดการณ์ว่าตลาดการเงินน่าจะออกมาแย่ลงอย่างมาก และจะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า
ขณะเดียวกันทองคำจะปรับตัวสูงขึ้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง สภาวะที่ผ่านมาในช่วง 7 วันทำการ ตลาดหุ้นดาวโจนส์ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นการปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบกว่า 6 เดือนด้วยซ้ำไป
ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยดัชนีดอลลาร์จากระดับ 98.32 จุด ก็ค่อยๆปรับตัวขึ้นทะลุ 100 จุด และในคืนวันศุกร์ขึ้นไปที่ระดับ 101.48 จุด ซึ่งเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน ปี 2003 และถือเป็นการทุบสถิติการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์ในรอบกว่า 13 ปี
ทั้งนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือการปรับตัวลดลงของราคาทองคำอย่างต่อเนื่อง โดยทองคำที่คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้น จากการที่จะได้ นายทรัมป์ มาเป็นประธานาธิบดี กลับทำให้ราคาทองคำร่วงลงอย่างหนักจากระดับ 1,300 เหรียญโดยประมาณ ณ ขณะนี้ ทองคำลงมาอยู่แถวระดับ 1,210 เหรียญ ซึ่งเรียกได้ว่าในช่วง 7 วันทำการนั้น ราคาทองคำลดลงมากว่า 100 เหรียญแล้ว
ขณะที่ราคาทองคำไทยปรับตัวลดลงตามอย่างรุนแรงเช่นกัน จากระดับ 22,200 บาท/บาททองคำ ณ ขณะนี้เหลือเพียง 20,450 บาท/บาททองคำ หรือร่วงลงเกือบ 1,800 บาท/บาททองคำ
อย่างไรก็ดี การที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงมาต่อเนื่องจากระดับ 34.80 บาท/ดอลลาร์ มาอยู่ที่ระดับ 35.62 บาท/ดอลลาร์ในขณะนี้ ก็ถือเป็นตัวช่วยตัวหนึ่งที่ทำให้ทองคำไทยปรับตัวสูงขึ้นและไม่หลุด 20,000 บาท/บาททองคำ อย่างไรก็ดี แรงเทขายในตลาดทองคำที่มีเข้ามาอย่างหนักตอนนี้ ส่วนหนึ่งมาจาก SPDR ซึ่งถือเป็นกองทุนทองคำขนาดใหญ่ที่เทขายออกมาติดต่อกัน 7 วันทำการเกือบ 40 ตัน โดยทั้งหมดนี้ถือเป็นการหักปากกาเซียนนักวิเคราะห์ที่ออกมาวิเคราะห์ก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ทองคำยังถูกพายุกระหน่ำซ้ำสอง จากความคาดหวังที่ว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งหน้า และคาดว่าโอกาสที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้าก็มีสูงขึ้น หากนโยบายของ นายทรัมป์มีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้ามาจริง โดยการกระตุ้นเศรษฐกิจมากๆจะทำให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นตามมา ซึ่งเฟดมีโอกาสจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้าได้มากถึง 2 ครั้งเลยทีเดียว ก็เรียกได้ว่า การตอบคำถามของประธานเฟดในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาก็ค่อนข้างจะบอกถึงความชัดเจนว่าอาจจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆนี้ เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการจ้างงานรวมทั้งอัตราเงินเฟ้อนั้นเริ่มเข้าสู่เป้าหมายที่เฟดได้ตั้งไว้ ส่งผลให้บรรดานักวิเคราะห์ให้มองว่า มีโอกาสประมาณ 95% ที่เฟดจะทำการขึ้นดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมนี้
วิเคราะห์ราคาทองคำทางเทคนิค
ราคาทองคำปรับตัวลดลงจนหลุดแนวรับสำคัญที่ระดับ 1,250 เหรียญ และ 1,220 เหรียญ ตามลำดับ ทำให้โดยภาพองค์รวมทางเทคนิคเป็นแนวโน้มทิศทางขาลงทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เนื่องจากราคาหลุดแนวรับทุกเส้น และทำจุดต่ำสุดใหม่ในรอบ 9 เดือนด้วยซ้ำไป ทองคำจะมีแนวรับทางจิตวิทยา 1,200 เหรียญหากหลุดลงมาก็มีโอกาสจะลงลึกมาที่ 1,160 เหรียญได้
สำหรับแนวต้านด้านบนของทองคำจะอยู่ที่ระดับ 1,220 เหรียญ และ 1,250 เหรียญตามลำดับ ยังวิเคราะห์ว่าราคาทองคำจะขับเคลื่อนในทิศทางขาลงนั้นยังมีโอกาสสูง สำหรับ Gold Futures Series Z ที่ซื้อขายอยู่ ณ ขณะนี้ ก็ต้องยอมรับว่ามีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน โดยนักลงทุนครึ่งหนึ่งกลับสภาวะเป็น Short Position เพื่อรองรับกับสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ขณะที่ราคาทองคำไทยจะมีแนวรับสำคัญที่ระดับ 20,100 บาท/บาททองคำ และมีแนวต้านหลักที่ระดับ 20,700 บาท/บาททองคำ ยังคาดว่ามีโอกาสที่ทองคำจะปรับตัวลดลง แต่ราคาทองคำจะปรับตัวลงตามช้ากว่าเนื่องจากค่าเงินบาทที่ปรับตัวอ่อนค่า
การแก้ไขพอร์ตการลงทุนในสภาพทีตลาดปรับทิศเป็นขาลง
MTS Gold แม่ทองสุก ผู้นำการลงทุนในทองคำได้ย้ำเน้นนักลงทุนอยู่เสมอว่า การปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนให้ตามแนวโน้มทิศทางของตลาดที่เปลี่ยนไปนั้นมีความสำคัญ นักลงทุนจำเป็นที่จะต้องมีวินัยในการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะที่ตลาดมีความผันผวนและขึ้นลงอย่างรวดเร็ว การปรับเปลี่ยนสถานะก็จำเป็นที่ตจะต้องปรับเปลี่ยนให้รวดเร็วตาม มิเช่นนั้นจะอยู่ในสภาวะ ติดดอยสูง หรือติดในภาวะถูกลากไปเชือด
ดังนั้นการลงทุนมีความจำเป็นที่นักลงทุนจะต้องเข้าใจและบริหารความเสี่ยงตามสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ณ ขณะนี้ นักลงทุนจำเป็นต้องมีคำสั่ง Stop Loss หรือที่เราเรียกว่าตัดภาวะขาดทุนหรือความเสี่ยงให้น้อยลงไป การที่จะยืนกรานว่าไม่ขายไม่ขาดทุน หรือทำใจไม่ได้ในการขายขาดทุน จึงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องและนักลงทุนจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนมุมมองและทัศนคติให้ถูกต้อง จากการวิเคราะห์ตามแนวโน้ม นักลงทุนในระยะยาวที่ไม่ได้ซื้อ Leverage หรือไม่ได้ใช้อัตราทด รวมทั้งไม่ได้ใช้ Margin สูงๆเท่านั้น จึงจะสามารถทนต่อสภาวะเช่นนี้ได้ อย่างไรก็ดี การปรับพอร์ตการลงทุนให้ไปตามสภาพที่เป็นจริง จะทำให้นักลงทุนอยู่ในโลกความเป็นจริงอย่างมีความสุข และสามารถลงทุนในตลาดได้อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ขอให้นักลงทุนทุกท่านโชคดี สนใจลงทุนทองคำติดต่อ MTS Call Center 02 770 7777


