posttoday

OTOP

30 กันยายน 2558

โดย...กิติชัย เตชะงามเลิศ นักลงทุนหุ้นและอสังหาริมทรัพย์

โดย...กิติชัย เตชะงามเลิศ นักลงทุนหุ้นและอสังหาริมทรัพย์

สืบเนื่องมาจากบทความที่แล้วที่ผมพูดถึงเรื่อง OTOP ซึ่งผมยังมีเนื้อหาที่จะกล่าวถึงอีกพอสมควร จึงอยากขยายมาถึงบทความนี้ OTOP หรือ ONE TAMBOL ONE PRODUCT ถึงแม้จะเป็นนโยบายของรัฐบาลที่คุณทักษิณ ที่มีนโยบายประชานิยมค่อนข้างมาก และหลายๆนโยบายผมไม่ค่อยจะเห็นด้วย แต่นโยบาย เช่น บัตรทอง 30 บาท รักษาทุกโรค ผมกลับเห็นด้วยเป็นอย่างมาก ก็อย่างที่ทราบๆกัน คนไทยที่มีรายได้น้อยเป็นฐานประชากรที่ใหญ่ของประเทศ ระบบสวัสดิการแต่เดิมของไทยเรามีน้อยมาก การมีนโยบายนี้ขึ้นมาทำให้คนกลุ่มนี้เมื่อเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็สามารถที่จะใช้สิทธิ์บัตรทองเพื่อรักษาตนให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ และอีกนโยบายหนึ่งก็คือ OTOP ซึ่งเป็นนโยบายที่ดีมากซึ่งรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นของพรรคการเมืองไหน หรือแม้กระทั่งรัฐบาลชุดนี้ ควรจะสนับสนุนอย่างเต็มที่ รัฐบาลควรจะเจียดงบ 1 ก้อนจากงบประมาณแผ่นดินเพื่อ OTOP โดยแบ่งเป็น

1 งบสำหรับการบริหารจัดการ OTOP
2 งบสำหรับส่งเสริมและพัฒนา OTOP

รัฐบาลควรจะจัดตั้งคณะกรรมการคัดเลือกผลิตภัณฑ์และการบริโภค ในระดับตำบล อำเภอ จังหวัด โดยระดับ ตำบลควรจะมีกรรมการที่มาจากภาครัฐ 40% และเป็นกรรมการที่ชาวบ้านในตำบลนั้นๆคัดเลือกกันเองอีก 60% เพื่อจะได้ช่วยกันคัดกรองผู้ที่เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ และ/หรือ บริการที่มีคุณภาพจริงๆ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และเป็นการสร้างความยั่งยืนของ BRAND “OTOP”โดยจะมีการคัดเลือกผลิตภัณฑ์และบริการทุกๆ 2 ปี และแต่ละผลิตภัณฑ์และ/หรือบริการมีสิทธิ์ได้รับคัดเลือกได้ไม่เกิน / ครั้งติดต่อกัน เพื่อหมุนเวียนให้ผลิตภัณฑ์และ/หรือบริการมีสิทธิ์ได้รับคัดเลือกบ้าง

ส่วนคณะกรรมการ OTOP ระดับตำบล ควรจะมีวาระละ 4 ปี โดยกรรมการแต่ละท่านในส่วนที่เป็นการคัดเลือกกันเองของชาวบ้านดำรงตำแหน่งได้เพียง 1 วาระ เพื่อที่จะได้หมุนเวียน ส่วนกรรมการที่มาจากส่วนกลางของรัฐดำรงตำแหน่งกรรมการได้ไม่เกิน 2 วาระ ส่วนคณะกรรมการในระดับ อำเภอ และจังหวัดก็ควรจะใช้วิธีการเดียวกัน กับระดับตำบล โดยระดับอำเภอมีหน้าที่ในการคัดเลือกผลิตภัณฑ์และบริการที่ได้ OTOP ระดับตำบลให้เป็น OTOP ระดับอำเภอ ส่วนคณะกรรมการ OTOP ในระดับจังหวัดมีหน้าที่ในการคัดเลือก OTOP  ระดับอำเภอ ที่ดีที่สุดให้เป็น OTOP ระดับจังหวัดแล้วรัฐเองควรจะส่งเสริมให้ความรู้แก่เจ้าของผลิตภัณฑ์ OTOP เหล่านี้ในกระบวนการผลิต เพื่อให้มีสินค้าและบริการที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการตัดทอนค่าใช้จ่ายในการผลิต โดยที่คุณภาพยังคงเดิม พร้อมทั้งจัดหาสินเชื่อ SOFT LOAN ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมากๆ โดยให้สถาบันการเงินของรัฐเป็นผู้คัดเลือกและกำหนดวงเงินที่จะอนุมัติ และให้สถาบันการเงินเหล่านี้ คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในระดับต่ำ โดยรัฐเป็นผู้สนับสนุน

นอกจากนั้น ทางรัฐเองควรจะส่งเสริมให้กองทุนประเภท VENTURE CAPITAL เข้ามามีส่วนร่วมโดยการเข้าไปร่วมทุนถือหุ้น กับ OTOP ที่มีคุณภาพเหล่านี้ ซึ่งจะสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ OTOP เหล่านี้

ส่วนตัวกองทุน VENTURE CAPITAL ก็ยังจะได้ผลตอบแทนจากเงินปันผล และเมื่อ OTOP เหล่านี้เติบโตเพียงพอที่จะเข้าตลาด MAI  ซึ่งกองทุนเหล่านี้ก็จะสามารถ LIQUIDATE สร้าง CAPITAL GAIN ได้อีก ผมมีความคิดว่าเราน่าจะมีตลาดอีกตลาดหนึ่งคล้ายๆ MAI แต่ลดเกณฑ์การพิจารณาเพื่อจะเข้าตลาดแห่งใหม่นี้

สมมติว่าตั้งชื่อว่า “ตลาด OTOP” โดยลดเกณฑ์ความเข้มงวดลงครึ่งหนึ่งของเกณฑ์การเข้าตลาด MAI เพื่อผลักดันให้กิจการ OTOP เหล่านี้เติบโตพร้อมไปกับความแข็งแกร่ง และจะช่วยกระตุ้นให้กองทุนเหล่านี้มีความประสงค์ที่จะเข้ามาร่วมทุนกับ OTOP ที่มีคุณภาพ จากผลประโยชน์ที่จะได้ในอนาคตที่ไม่ไกลจนเกินไปนัก และเมื่อธุรกิจเหล่านี้ถูกถือหุ้นโดยกองทุนและยิ่งเมื่อเข้าตลาด OTOP ด้วยแล้ว ระบบบัญชีก็จะโปร่งใสมากขึ้น นั่นหมายถึงสรรพากรจะสามารถเก็บภาษีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น เพราะผมเชื่อว่าถ้ารัฐบาลทำแบบนี้เสมือนกับยิงกระสุนนัดเดียวได้นกหลายตัวพร้อมกันเลยทีเดียว

ผมสรุปผลประโยชน์ของการดำเนินนโยบาย OTOP ข้างต้นไว้ดังนี้
1.ธุรกิจ SME เล็กๆจะแข่งขันกันพัฒนาคุณภาพของสินค้าและบริการเพื่อให้ตัวเองได้รับการคัดเลือกเป็นผลิตภัณฑ์ OTOP
2.ธุรกิจที่ได้รับการคัดเลือก OTOP จะมีความแข็งแกร่งมากขึ้นและยังคงต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนให้มี คุณภาพ เพราะว่าเพื่อการคัดเลือก OTOP ครั้งใหม่ ผลิตภัณฑ์ของตนจะได้รับการคัดเลือกอีก โดยควรจะมีการคัดเลือกผลิตภัณฑ์OTOP ทุกๆ 2ปี
3.กองทุน VENTURE CAPITAL มีช่องทางในการลงทุนมากขึ้น
4.ประชาชนมีทางเลือกในการลงทุนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในกองทุนข้างต้น หรือ ลงทุนโดยตรงในตลาดOTOP
5.สถาบันการเงินของรัฐมีรายได้มากขึ้น จากการเป็นผู้ให้บริการธุรกิจ OTOP เหล่านี้
6.กระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวจากคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติตามชุมชนต่างๆที่มีผลิตภัณฑ์OTOP ที่มีคุณภาพ โดย ททท จะต้องเป็นแกนหลักในด้านประชาสัมพันธ์
7.สรรพากรเก็บภาษีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น

เห็นประโยชน์มากมายหลายสถานแบบนี้แล้ว ท่านสมคิดจะว่ายังไงครับ