posttoday

กทม.ปิดพื้นที่บางส่วนแทนล็อกดาวน์...ฝันสลายเศรษฐกิจผ่านพ้นจุดต่ำสุด

28 มิถุนายน 2564

คอลัมน์ เศรษฐกิจรอบทิศ

การประชุมศบค.วันศุกร์ที่ผ่านมาเพื่อพิจารณาจะล็อกดาวน์หรือไม่ล็อกดาวน์กทม. ภายใต้ความกดดันนายกรัฐมนตรีเลือกแนวทางปิดพื้นที่บางส่วนซึ่งมีความเสี่ยงสูงเป็นจุดๆ เพราะหากจะล็อกดาวน์จะทำให้คนกลับต่างจังหวัดเป็นการแพร่กระจายโควิดและควบคุมไม่อยู่ ไม่ว่าจะออกมาทางไหนเป็นการส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจไทยที่ก่อนหน้านี้หวังว่าจะมีการฟื้นตัวแต่การกระบาดรอบใหม่หรือจะเรียกว่า “ระลอกที่ 4” หนักกว่าเดิมแต่ละวันมีคนติดเชื้ออยู่ในระดับ 3-4 พันราย หมอดังระดับบิ๊กๆ หลายโรงพยาบาล เช่น จุฬาฯ, ศิริราช, รามาธิบดี ฯลฯ  ออกมาระบุว่าถึงขั้นวิกฤต เตียงไม่พอ ไอซียูล้นคิวยาวแต่ละวันผู้ติดเชื้อเข้ามามากกว่าออกมีความแออัดสูงจนจะเอาไม่ไหวแต่รัฐมนตรีที่รับผิดชอบบอกว่า “ยังเอาอยู่” เป็นการเล่นการเมืองไม่เลิกตั้งแต่แก้รัฐธรรมนูญก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า แม้แต่ความเป็นความตายของประชาชนก็ไม่เว้นที่จะมีการเมืองเข้ามาแทรก

ตรงนี้ต้องเห็นใจ “บิ๊กตู่และทีมงานในศบค.” เพราะไม่ว่าจะเลือกทางใดล้วนมีความเสี่ยงมีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย หากจะเลือกเศรษฐกิจมาก่อนโควิดก็เสี่ยงที่การแพร่ระบาดจะคุมไม่อยู่อาจกลายเป็นวิกฤตแบบที่ประเทศอินเดียประสบ ขณะเดียวกันหากเลือกล็อกดาวน์พื้นที่กทม.ซึ่งเป็นพื้นที่ศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศ เศรษฐกิจจะทรุดตัวธุรกิจรายใหญ่-กลาง-เล็ก, อาชีพอิสระ, หาบเร่-แผงลอย, รถแท๊กซี่ ฯลฯ ที่แย่อยู่แล้วจะยิ่งหนักไปกว่าเดิมกลายเป็นวลีเด็ดของนายกรัฐมนตรี “เจ็บแล้วไม่จบ” จะไปต่ออย่างไร

วิกฤตเศรษฐกิจที่มาจากการแพร่ระบาดของโควิดส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอี 1 ใน 3 ประสบปัญหาสภาพคล่องขั้นรุนแรงถึงแม้จะมีเม็ดเงินซอฟท์โลนของกระทรวงการคลังและธปท. เหลือเงินอีกกว่า 2 แสนล้านบาทและมี “บสย.” ช่วยค้ำประกันแต่การปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ณ เวลานี้ “ยากยิ่งกว่ายาก” แม้แต่ธุรกิจ  ไปได้ดีกำไรเป็นบวกมีหลักประกันคุ้มยังดูแล้วดูอีก 2-3 เดือนยังไม่อนุมัติ จะโทษแบงค์ก็ไม่ได้เพราะ “NPL” และหนี้ใกล้จะเสียของธุรกิจประเภท SME รวมกันสูงถึงร้อยละ 19.4 ของสินเชื่อเอสเอ็มอีทั้งหมด หากเป็นแบงค์วันนี้อยู่เฉยๆ ไม่เสี่ยงดีกว่า

ด้านเศรษฐกิจภายใต้การระบาดของโควิดระลอกใหม่ที่รุนแรงกว่าเดิมปัจจัยสำคัญมาจากวัคซีนที่มาช้ากว่าที่ควรจะเป็นทำให้คนติดเชื้อแต่ละวันพุ่งสูง วันนี้เลยจุดประชาสัมพันธ์เอาดีเข้าตัวว่าจะเปิดประเทศวันนี้-วันนั้นได้หรือไม่ แม้แต่โครงการ “Sandbox Model” ที่จะคิกออฟในสัปดาห์หน้าหากการติดเชื้อแพร่ระบาดคุมไม่อยู่ใครเขาจะกล้ามาเที่ยว แต่คิดไว้ก็ไม่เสียหลายถือเป็นการซ้อมไปพลางๆ ในช่วงที่หน่วยงานท่องเที่ยวไม่มีงานทำ ขณะเดียวกันดีเดย์ 120 วันที่จะสตาร์ทวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ก็ทำไปเพราะเป็นการปักธงชี้เป้าว่าเศรษฐกิจจะกลับมาไว้ใกล้ๆ ค่อยเลื่อนเหมือนอย่างวัคซีนที่ไม่มาตามนัดอย่างเก่งก็บ่นกันได้ไม่กี่วันแล้วก็ลืม

กลับมาเรื่องเศรษฐกิจภายใต้การปิดพื้นที่บางส่วนของกทม.ซึ่งก็เป็นการล็อกดาวน์กลายๆ ทำให้ไม่กล้าฟันธงว่าวันนี้เศรษฐกิจไทยพ้นจุดต่ำสุด เนื่องจากการระบาดระลอกใหม่ส่งผลต่อหลายโครงการอาจต้องพับไว้ที่น่าเป็นห่วงสุดคือโรงแรม-ที่พัก สถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร ธุรกิจบริการ ค้าปลีก รวมถึงร้านค้าตามห้างโมเดิร์นเทรดต่างๆ ที่มีแต่ทรุดกับทรุดเงินในกระเป๋าส่วนใหญ่แทบจะไม่เหลือ ธุรกิจที่เกี่ยวกับท่องเที่ยวถือเป็นภาคส่วนที่น่าเห็นใจการฟื้นตัวแทบจะไม่เห็นทางออกการพึ่งสินเชื่อแบงค์แทบเป็นไปไม่ได้ ปีที่แล้วรายได้รวมหายไปประมาณ 2.176 ล้านล้านบาทปีนี้หนักกว่าคาดว่าจะสูญเสียรายได้ประมาณ 2.338 ล้านล้านบาทตัวเลขนี้ก่อนมาตรการเปิดประเทศของรัฐบาล

จุดอ่อนของภาคท่องเที่ยวองค์กรที่เกี่ยวข้องรวมกันไม่ค่อยจะติดทำให้ขาดอิมแพ็คที่จะขอการสนับสนุนจากรัฐทั้งที่มีสัดส่วนอยู่ในจีดีพีประมาณร้อยละ 17.7 มีผู้คนเกี่ยวข้องไม่น้อยกว่า 4-5 ล้านคน เม็ดเงินจากภาคท่องเที่ยวส่วนใหญ่กระจายตรงไปถึงฐานรากของเศรษฐกิจจนถึงระดับชาวบ้านในต่างจังหวัดต่างจากภาคอุตสาหกรรมที่อานิสงค์จะได้รับ  แต่เพียงค่าแรง เมื่อเม็ดเงินจำนวนมากหายไปในพริบตาและน่าจะต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปีนี้ทำให้คนจำนวนมากเดือดร้อน  ที่ตามมาคือการว่างงานจากข้อมูลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับภาคแรงงานและธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่ามีคนว่างงานและเสมือนว่างงานรวมถึงทำงานไม่เต็มศักยภาพรวมกันถึง 2.1-2.5 ล้านคนยังไม่รวมคนที่ทำงานต่ำกว่า 4 ชั่วโมงต่อวันอีกสี่ล้านกว่าคน

การที่รายได้ของแรงงานซึ่งก็คือประชาชนลดน้อยหรือขาดรายได้ส่งผลกระทบต่อสังคมคือหนี้ที่สูงขึ้น ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจแห่งหนึ่งระบุว่าคนไทยสัดส่วนหนี้/รายได้สูงถึงร้อยละ 42.8 คือเกือบครึ่งหนึ่งของรายได้ต้องนำมาชำระหนี้แล้วจะอยู่กันอย่างไร ในปีที่ผ่านมาหนี้ครัวเรือนสูงขึ้น 5.314 แสนล้านบาทเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 4 และปีนี้คงไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของปีที่แล้ว ภาคส่วนเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างชัดเจนคือ “ส่งออก” ช่วงมกราคม-พฤษภาคมขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 10.78 เดือนพฤษภาคมทำสถิติสูงสุดขยายตัวถึงร้อยละ 41.6 เนื่องจากเทียบจากฐานเดือนเดียวกับปีที่แล้วที่ต่ำมากข้อมูลเชิงประจักษ์ปีนี้ตัวเลขส่งออกเดือนมีนาคมสูงกว่าเดือนพฤษภาคมด้วยซ้ำ อีกทั้งการนำเข้าสินค้าทุน-เครื่องจักรขยายตัวสูงสุดในรอบหลายปีถึงร้อยละ 36 แสดงว่าการลงทุนจริงเริ่มกลับมา  ข้อมูลเหล่านี้บ่งบอกว่าเศรษฐกิจโดยภาพรวมเริ่มมีการฟื้นตัวอย่างเป็นนัย

เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ขึ้นอยู่กับความสามารถในการควบคุมการแพร่ระบาด ความหวังอยู่ที่วัคซีนจะต้องเร่งจัดหาและฉีดให้ประชาชนได้ตามเป้ารวมถึงแรงงานต่างด้าวประมาณ 2 ล้านคนต้องได้รับการฉีดเพราะคนพวกนี้ทำงานอยู่กับคนไทยเป็นคุณแจ๋วตามครัวเรือน สำหรับการเดินหน้าปักธงเปิดประเทศและโครงการแซนด์บ็อกซ์ทั้งหลายถือเป็น “การซ้อม” ดีกว่าอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรหากจะเปลี่ยนเป็น “วันดีเดย์ชนะโควิด” น่าจะดีกว่าเพราะหาก  โควิดจบทุกอย่างก็จะดีตามมาเอง ประเด็นคือหากเปิดประเทศ 120 วันไม่ได้ตามที่คุยและโควิดไม่จบประชาชนจะถามหาคนรับผิดชอบ....ต่อให้หนังเหนียวถึงจะแขวนพระรอดหากชาวบ้านเขาเทไม่เอาก็อยู่ยาก-รอดยากครับ

สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ทางเว็บไซต์ www.tanitsorat.com หรือ www.facebook.com/tanit.sorat

ข่าวล่าสุด

ดูบอลสด ถ่ายทอดสด อาร์เซน่อล พบ คริสตัล พาเลซ คาราบาวคัพ วันนี้