posttoday

โควิด-ไทย vs โควิด-สิงคโปร์

08 เมษายน 2563

คอลัมน์ Great Talk

สวัสดีค่ะ พี่เกรท

วันนี้น้องมีเรื่องมาแชร์ถึงการใช้ชีวิตวิกฤติ โควิด ที่สิงค์โปร์ค่ะ ตอนนี้ รัฐบาลสิงค์โปรให้เงินเยียวยาค่าน้ำไฟ บ้านละ 2,500 บาท ให้เงินเยียวยาประชาชน คนละ 300$ หรือ 7,500บาท บ้านไหนมีเด็กๆ เด็กๆได้คนละ 300$ (7,500 บาท)

ถ้ากลับมาจากต่างประเทศ ให้กักตัว 14 วัน ใครฝ่าฝืนติดคุก และ ปรับเงินประมานสามแสนบาท คนที่ถือบัตรที่ไม่ใช่คนสิงคโปร์ ฝ่าฝืนโดนยึดบัตรและเนรเทศ?ออกนอกประเทศ และถูกแบนห้ามเข้าสิงคโปร์?ตลอดชีพค่ะ เขาเอาจริง ผิดกฎหมายไม่ได้เลยค่ะ ประเทศนี้ ยอดผู้ป่วยถือว่าต่ำ ถ้าเทียบกับประเทศ?ใกล้เคียงค่ะ

ถ้าคนสิงคโปร์ หรือ ผู้ถือบัตรต่างๆ ออกนอกประเทศแล้วติดเชื้อมาต้องจ่ายค่ารักษาตัวในโรงพยาบาลเองทั้งหมด ซึ่งโรงพยาบาลที่นี่แพงมากๆค่ะ แต่ถ้าไม่ได้ไปไหน แต่ติดในประเทศ รัฐบาลจ่ายให้ทั้งหมดค่ะ

ส่วนนี้คือต่อแถวเข้าห้างค่ะ ห้ามเข้าไปมากเกินไป เชื้อโรคพออยู่ในห้องแอร์ มันจะลอยตัวได้นานกว่าปกติ เลยจำกัดคนที่เข้าห้างค่ะ

โควิด-ไทย vs โควิด-สิงคโปร์

ส่วนนี่คือรถช้อปปิ้งส่วนตัวค่ะ คนที่นี่จะใช้อันนี้ไปซื้อของ เพราะที่นี่ก็ไม่ฟรีถุงพลาสติกเหมือนกันค่ะ

โควิด-ไทย vs โควิด-สิงคโปร์

วันนี้ (7 เมษายน 2563) จะเริ่มขอความร่วมมือผู้คนไม่ให้ออกนอกบ้าน ร้านค้าต่างๆปิดตัว เปิดเฉพาะ supermarket, ร้านขายยา, hawker center หรือ โรงอาหาร, ร้านอาหารเปิด แต่ห้ามนั่งทานที่ร้าน ให้ซื้อกลับไปทานที่บ้าน, ที่เก้าอี้นั่งจะมี?เครื่องหมายกากบาทไว้ ห้ามนั่งตรงกากบาท ถ้านั่งโดนปรับ 300 สิงคโปร์ดอลล่า (ประมาณ7,500 บาท)

ปิดประเทศเข้าประเทศได้ แต่ห้ามออก ผู้ที่เข้าได้ต้องเป็นชาวสิงคโปร์?หรือถือบัตร PR. (Permanent Residence) เท่านั้น คนที่อยู่ภายในประเทศ ห้ามออกนอกประเทศเด็ดขาด ปิดประเทศหนึ่งเดือน จะเข้าห้างต้องวัด อุณหภูมิ และมีหน้ากากป้องกันระยะห่างหนึ่งเมตร

ทุกจุดในสิงคโปร์จะมีน้ำยาล้างมือให้ทั่วไป ถ้าคนสิงคโปร์ ขัดขืนการกักกันตัว ต้องโดนยึดพาสปอร์ต ห้ามเดินทาง ติดคุกหกเดือน ปรับเป็นเงินอีกต่างหากค่ะ

(*ข้อมูลเพิ่มเติม ใบอนุญาตจำแนกออกได้เป็นสามประเภท)

นั่นคือ

เมื่อได้งานทำแล้ว ทางบริษัทจะต้องดำเนินการขออนุญาตให้มาทำงานอย่างถูกกฏหมาย โดยแบ่งเป็น 3 ระดับตามเงินเดือน

1. Work Permit เงินเดือนน้อยกว่า 45,000 บาท

2. S Pass เงินเดือน 45,000 -62,500 บาท

3. Employment Pass เงินเดือน 62,525 บาท ขึ้นไป

ซึ่งนายจ้างต้องให้เอกสารรับรองการจ้างเพื่อขอพาสทั้งสามประเภท การขอ PR ก็เปรียบเสมือนการได้รับ Green Card ในอเมริกา ที่เราจะได้สิทธิ์ใกล้เคียง Citizen มากขึ้นและสามารถเข้าออกและหางานได้โดยอิสระมากกว่า รวมทั้งสามารถซื้อบ้านได้)

หน้ากากอนามัย ถูกกว้านซื้อช่วงสองอาทิตย์เเรก ตำรวจตามหาคนที่กว้านซื้อและถูกจับไปแล้ว หลังจากโควิดระบาดเข้าหนึ่งเดือน และหน้ากากอนามัยเริ่มมีขายทั่วไปราคาไม่แพง เจลล้างมือ เริ่มต้นที่ 37.5บาท ถึง ราคา 75-100 บาท ต่อขวดถือว่ารัฐบาลคุมราคาอยู่ได้รวดเร็วมากค่ะ

มีเคสคนที่ต้องสงสัยว่าติดเชื้อกลับมาจากต่างประเทศ แต่ไม่ยอมกักตัวอยู่บ้าน เขาออกไปข้างนอก ทางตำรวจจับเขา และถอดถอนบัตร PR (permanent Residence) และถูกแสตมป์แบนเข้าประเทศสิงคโปร์ตลอดชีพ (การแบนของสิงคโปร์จะออนไลน์ไปทั่วโลก คนคนนี้จะเข้าประเทศอื่นไม่ได้ แต่อาจจะมีบางประเทศเล็กๆที่เข้าได้ แต่ประเทศ เช่น อังกฤษ อเมริกา แคนาดา ฝรั่งเศส ประเภทนี้จะเข้าไม่ได้เพราะมี record ไว้ค่ะ?

ส่วนของหน้ากากที่รัฐบาลแจกให้ประชาชนนั้น ตอนนี้เขารณรงค์ให้ใช้แบบผ้า Reused ได้ค่ะ แจกแบบผ้า คนละหนึ่งแพ๊ค ใช้แบบซักได้ กล่องละ 375 บาท มี 50 ชิ้น ประมาณชิ้นละ 7.5 บาท

กลายเป็นว่าวิกฤตโควิด ณ ตอนนี้ ทั้งสามีและน้องอยู่ที่นี่สบายมากค่ะ ลูกของน้องก็ได้รับสวัสดิการจากรัฐบาลดูแลพวกเราและครอบครัวอย่างเต็มที่ มีแค่เบื่อที่ต้องอยู่บ้านเท่านั้นค่ะ แล้วทางที่ประเทศไทยพี่เกรทสบายดีไหมค่ะ รัฐบาลที่นั่นดูแลอย่างไรบ้างค่ะพี่ รักษาสุขภาพด้วยนะคะ

-จากน้องมิเชล-

ถึงน้องมิเชล

เท่าที่อ่านดู ด้านมาตรการหลักๆ ระหว่างสิงคโปร์กับไทยนั้น ผมว่ามีความคล้ายกันมากครับ ทั้งการควบคุมพื้นที่การติดเชื้อ การสั่งปิดพื้นที่สุ่มเสี่ยง ความเห็นผม ทางรัฐบาลก็พยายามเร่งมืออย่างเต็มที่ครับ

เราลองมาดู ตัวเลขกันครับ

โควิด-ไทย vs โควิด-สิงคโปร์

ปัจจุบัน(8 เมษายน) ไทยมี ผู้ป่วย,ผู้เสียชีวิตและผู้ที่รักษาหายดังนี้2,369 คน , 30 คน , 888 คน และสิงคโปรตัวเลขดังนี้1,481 คน , 6 คน , 377 คน ซึ่งหากเราเทียบตัวเลขอย่างนี้ อาจจะดูว่าเรามีผู้ติดเชื้อเยอะกว่าสิงคโปร์

โควิด-ไทย vs โควิด-สิงคโปร์

แต่หากเราเทียบกับจำนวนประชากร ประเทศไทย 69 ล้านคนและสิงค์โปรที่ 5.6 ล้านคน สัดส่วนประเทศไทย ติดเชื้อแค่ 0.003% และสิงคโปร์ 0.026% หมายความว่า คนหนึ่งพันคน ประเทศไทย มีผู้ติดเชื้อ 3 คน แต่ที่สิงคโปร์ มีถึง 26 คน ส่วนด้านการรักษาประเทศไทย อยู่ที่ ประมาณ 37.48%สิงคโปร์ที่ 25.45% นี่เป็นข้อมูลยืนยันเรื่องความสุดยอดของประเทศไทยที่สามารถทำได้ขนาดนี้และทีมงานแพทย์ที่เป็นอันดับต้นๆของโลกอีกด้วย

แต่สิ่งที่ประเทศไทยควรเรียนรู้เพิ่มเติม คือ ความเข็มงวดของกฏหมายที่ไม่ละเว้นต่อผู้ที่มีอำนาจ ผมว่ายังตกหล่นไปมาก หน้ากากที่ถูกกักตุนไว้ตอนนี้ยังหาที่มาที่ไปไม่ได้? เจล แอลกอฮอล์ ยังหาได้ยากและมีราคาแพง

คนทำงานต้องหาเงินซื้อหน้ากากและแอลกอฮอลเพื่อหาเงินรายวันให้พอกินหากประชาชนอย่างเราๆต้องเจอสถานการณ์แบบนี้ต่อไป ผมว่าผู้คนยอมออกมานอกบ้านเพื่อติดโควิด เพราะเปอร์เซ็นต์ ติดมีแค่ 0.003% แต่เปอร์เซ็นต์ความจนผมว่า 90% ของคนในประเทศแน่นอน