posttoday

พระพุทธเจ้า ผู้โค้ชชีวิตให้นางกีสาโคตมี

06 พฤษภาคม 2561

ความพลัดพรากจากคนรักและของรักนั้น พระพุทธเจ้า ตรัสว่า “เป็นธรรมดาของชีวิต”

โดย พระครูปลัดบัณฑิต อินฺทเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสังข์กระจาย 
ความพลัดพรากจากคนรักและของรักนั้น พระพุทธเจ้า ตรัสว่า “เป็นธรรมดาของชีวิต”
แต่น้อยคนที่จะ “เข้าใจและยอมรับ” ในการพลัดพราก เราจึงเห็นผู้คน “ร้องไห้ เสียใจ ทุรนทุราย” จากการพลัดพรากของรักและคนรักเป็นจำนวนมาก
พระพุทธองค์เคยเปรียบ “ความรัก” ว่าเหมือนยางเหนียวที่ยึดหัวใจของคนไว้กับ “ของรักและคนรัก” เมื่อนานวันเข้าจึง “เหนียวแน่น” จนไม่สามารถดึงออกจากใจได้ง่าย
อ่านมาถึงตรงนี้!!! ท่านก็ลองถามหัวใจตัวเอง ว่าเคยร้องไห้ เสียใจ ทุรนทุราย เพราะของรักและคนรักหรือไม่ “กี่ครั้งแล้วในชีวิตที่เจ็บปวดไม่รู้จักจบสิ้น”
ในอดีตขณะที่พระพุทธองค์ทรงประทับอยู่ ณ กรุงสาวัตถี มีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อ กีสาโคตมี นางได้กำเนิดลูกชายคนหนึ่ง แต่ลูกชายนางก็ตายเสียขณะที่วิ่งเล่นได้ ด้วยความรักที่มีอยู่เต็มเปี่ยมของหัวใจ นางจำยอมรับไม่ได้ นางไม่เชื่อว่าลูกชายของนางตายแล้ว
นางเหมือนคนเป็นบ้าด้วยความเศร้าโศก อุ้มลูกชายที่ตายแล้วไว้ที่อก ตระเวนไปทั่วเมืองสาวัตถี เมื่อนางพบเจอผู้ใดก็ร้องขอยาสำหรับรักษาลูกชาย 
นางได้เจอกับชายคนหนึ่ง ได้แนะนำเธอว่ามีคนเดียวเท่านั้นที่จะรักษาลูกของเธอได้ ให้นางไปขอยาจาก “พระพุทธองค์” นางดีใจรีบเดินไปขอยารักษาจาก “พระพุทธองค์”
พระศาสดาตรัสกับนางว่า “จงนำเมล็ดผักกาดหยิบมือหนึ่งมาจากเรือนที่ไม่เคยมีคนตาย”

พระพุทธเจ้า ผู้โค้ชชีวิตให้นางกีสาโคตมี

คำตรัสของพระศาสดา เปรียบเสมือนน้ำเย็นจากฟ้าที่มาชโลมใจ
นางดีใจมาก จึงเข้าเมืองไปที่เรือนหลังแรก ถามว่า ถ้าในเรือนนี้ไม่เคยมีใครตาย โปรดให้เมล็ดผักกาดแก่ข้าด้วยเถิด แต่คำตอบที่นางได้รับจากบ้านหลังแรก
คือ หลายปีผ่านมาในเรือนของเรามีคนตายมากมาย นางเดินต่อไปยังเรือนหลังอื่นๆ ก็ได้รับคำตอบเหมือนกัน จนถึงเย็นก็ไม่ได้เมล็ดผักกาด
นางจึงได้สติฉุดคิดว่า “เราคิดว่าลูกชายของเราเท่านั้นตาย ในบ้านทุกหลังมีคนตายด้วยกันทั้งนั้น” คิดแล้วก็สลดใจคลายความโศกลง จากนั้นนางก็ออกไปนอกเมือง ทิ้งศพลูกชายไว้ที่ป่าช้า
เดินกลับไปหาพระศาสดา
พระองค์ตรัสถามว่า “เธอได้เมล็ดผักกาดหยิบมือหนึ่งมาแล้วหรือ” นางตอบปฏิเสธ
พระศาสดาจึงตรัสว่า “เธอเข้าใจว่าลูกชายของเธอเท่านั้นที่ตาย แต่ความตายเป็นธรรมดาสำหรับสัตว์ทั้งหลาย”
แล้วตรัสว่า “มฤตยูย่อมพาชนผู้มัวเมาในบุตรและสัตว์เลี้ยง ผู้มีใจฟุ้งซ่านในอารมณ์ต่างๆ ไปดุจห้วงน้ำใหญ่พัดพาชาวบ้านผู้มัวหลับใหลไปฉะนั้น”
เมื่อจบพระดำรัส นางได้ดวงตาเห็นธรรม ต่อมาก็บวชเป็นภิกษุณี เจริญวิปัสสนาจนได้เป็นพระอรหันต์ นางกีสาโคตมีถูกความโศกจาก(ความรัก)ครอบงำอย่างหนัก
แม้พระพุทธองค์จะตรัสสอน ลูกของนางตายแล้ว ไม่มียารักษาบุตรของนางได้ นางก็คงไม่เชื่อ
พระพุทธองค์จึงหาวิธี (โค้ชชีวิต) ให้นางได้เรียนรู้บทเรียนแห่งความเจ็บปวดครั้งนี้ด้วยตนเอง 
จึงให้นางไปหาเมล็ดผักกาดจากบ้านที่ไม่เคยมีคนตาย จนได้รับรู้ความจริงของชีวิต ก็สลดใจและฉุกคิดได้ว่า ทุกคนมีความตายเป็นธรรมดา ไม่ใช่บุตรของตนเท่านั้นที่ตาย
เคยได้ยินคำว่า ความรักทำให้คนตาบอดไหมครับ ตาเนื้อไม่ได้บอดครับ แต่ตาในมองไม่เห็นความจริงที่มายาคติแห่งความรักมันบดบังเอาไว้
“ความรัก” มันเจ็บปวดนะ เชื่ออาตมาเถอะ อาตมาเจ็บมาเยอะ
โดยเฉพาะเวลาเดินบิณฑบาต ไม่ได้ใส่รองเท้า บอกได้เลย เจ็บจี้ด!!!