posttoday

ปณิธาน ท่านปัญญานันทภิกขุ

12 พฤศจิกายน 2560

วันที่ 4 พ.ย. 2560 ก่อนพิธีสลายสรีรธาตุด้วยดอกไม้ใจแทนดอกไม้จันทน์ ในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงศพ พระพรหมมังคลาจารย์

โดย สมาน สุดโต

วันที่ 4 พ.ย. 2560 ก่อนพิธีสลายสรีรธาตุด้วยดอกไม้ใจแทนดอกไม้จันทน์ ในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงศพ พระพรหมมังคลาจารย์ หรือหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ณ วัดชลประทานรังสฤษดิ์ พระอารามหลวง นั้น พระพรหมบัณฑิต (ประยูร) กรรมการมหาเถรสมาคม อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย รับนิมนต์แสดงปาฐกถาธรรม ณ ลานหินโค้ง เรื่อง วันเวลาเปลี่ยนแต่ปณิธานไม่เปลี่ยน เพื่อรำลึกถึงความแน่วแน่และจริงใจของหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ที่มีต่อพระรัตนตรัย ซึ่งพระพรหมบัณฑิต กล่าวว่า หลวงพ่อปัญญาฯ เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ฝรั่งเรียกคนแบบนี้ว่า Man for all seasons ส่วนหลวงพ่อปัญญาฯ ควรเรียกว่า Monk for all seasons

หลักใจหรือปณิธานของหลวงพ่อปัญญาฯ คือ

ปณิธาน ท่านปัญญานันทภิกขุ

1.ร่างกาย ชีวิต เป็นของพระรัตนตรัย ข้าพเจ้าเป็นทาสพระรัตนตรัย โดยสมบูรณ์ 2.ความมุ่งหมายของข้าพเจ้าอยู่ที่ประกาศคำสอนที่แท้ของพระพุทธศาสนา ข้าพเจ้าจึงต้องเป็นคนกล้าพูดความจริง ทุกกาลเทศะ3.ข้าพเจ้าต้องสู้ทุกวิถีทางเพื่อทำลายสิ่งเหลวไหลในพระพุทธศาสนา นำความเข้าใจถูกมาให้แก่ชาวพุทธ 4.ข้าพเจ้าไม่ต้องการอะไรเป็นส่วนตัว นอกจากปัจจัยสี่พอเลี้ยงอัตภาพเท่านั้น ผลประโยชน์อันใดที่เกิดจากงานของข้าพเจ้า สิ่งนั้นเป็นของงานที่เป็นส่วนรวมต่อไป 5.ข้าพเจ้าถือว่าคนที่ประพฤติชอบตามหลักธรรมะ เป็นผู้ร่วมงานของข้าพเจ้า นอกจากนี้ไม่ใช่ ท่านสอน และปฏิบัติเองด้วย กำหนดให้คนอื่นสอนด้วย ดังนี้จึงเป็นแม่ทัพธรรม

จะให้ซึ้งอุดมการณ์ต้องอ่านปาฐกถาเมื่อวันที่ 27 มิ.ย. 2525 ณ โรงเรียนพุทธธรรม วัดชลประทานฯ ที่พิมพ์ในหนังสืออุดมการณ์ของท่านปัญญาฯ แต่ขอคัดตัดตอนเพราะพื้นที่จำกัด ดังนี้

อาตมานี่เป็นพระในพระพุทธศาสนารูปหนึ่ง ที่มีความตั้งใจแน่วแน่ว่าจะใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา จึงได้ตั้งจิตอธิษฐานมาตั้งแต่หนุ่มว่า ชีวิตนี้จะมอบถวายเป็นเครื่องบูชาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ จะทำงานเพื่อพระพุทธศาสนาด้วยการเทศน์สอนคน ทีนี้การเทศน์สอนคนของอาตมานั้นไม่ได้เทศน์ธรรมดาๆ แต่มีหลักการใหญ่ว่า เทศน์แก้คน เทศน์เพื่อแก้คน แก้อะไร? แก้ความหลงผิด แก้ความเข้าใจผิด แก้ความงมงาย แก้สิ่งที่ไม่รู้ให้กลายเป็นความรู้ความเข้าใจ อันนี้เป็นปณิธานที่ตั้งไว้ตั้งแต่เริ่มปฏิบัติงานเทศนาสอนคนมาโดยลำดับ

ในสมัยก่อน เมื่อพรรษาเริ่มเป็นนักเทศน์ ก็เริ่มตั้งใจอย่างนั้น ว่าเทศน์เพื่อแก้ เพื่อดัดแปลงสิ่งที่ผิดให้กลายเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นไปเทศน์ที่ไหนนี่ก็ต้องศึกษาหาข้อมูล หาความบกพร่องในสถานที่นั้นๆ เช่นว่า เขานิมนต์ไปเทศน์ที่วัดใด อาตมาก็ต้องพยายามไปเดินดูตามบริเวณวัดว่า มันมีอะไรบกพร่องอยู่ในวัดนี้บ้าง พยายามคุยกับประชาชนเพื่อให้เขารู้ว่า เขาทำอะไรกัน เขาใช้เงินเท่าไร หมดเปลืองไปเท่าไร เวลาเทศน์ก็จะได้มีข้อมูลสำหรับที่จะไปเทศน์แก้ไขปรับปรุงสิ่งซึ่งเขาทำไว้ ให้เป็นการถูกต้องขึ้น

เช่น เขานิมนต์ไปเทศน์ในงานศพนี่ ถ้าเป็นพระอื่นก็ไปเทศน์ยกย่องเจ้าภาพ ว่าเป็นผู้มีศรัทธา มีความกตัญญูกตเวที ได้เสียสละทรัพย์เป็นอย่างมาก เพื่อสนองคุณมารดาบิดา เขาก็แค่เทศน์อย่างนั้น เจ้าภาพก็นั่งยิ้ม สบายใจ เทศน์ให้พอสบายใจ อย่างนี้เขาเรียกว่า เทศน์เพื่อให้เกิดบุญแก่ผู้ฟัง

ปณิธาน ท่านปัญญานันทภิกขุ

อาตมา มันไม่มีหลักการอย่างนั้น แต่มีหลักการว่า เทศน์เพื่อให้เป็นกุศล ไม่ได้ให้เป็นบุญ ไอ้เทศน์เป็นบุญนี่คือเทศน์ให้เจ้าภาพสบายใจ แต่ว่ามันไม่เป็นกุศล คือไม่มีปัญญาเกิดขึ้นในจิตใจของผู้ฟัง เมื่อเขาฟังว่าท่านเทศน์อย่างนั้น ก็นึกว่าไอ้สิ่งที่เราทำนี่ถูกต้องแล้ว พระท่านยังชมเลยว่าเราเป็นคนเสียสละอย่างยิ่งใหญ่ แต่ว่าเสียสละไปในทางฉิบหายเท่าใดนั้น พระไม่เคยพูดสักคำเดียว ไม่ได้นึก ไม่ได้เตือนในเรื่องอย่างนั้น คนจึงทำอะไรเหมือนๆ กัน ในทางที่สูญเสียเงินทองโดยไม่เกิดประโยชน์จากการกระทำ ไม่ใช่น้อย

เช่น ตามงานศพนี่มันเสียเงินตั้งมากมาย หมดเงินไปตั้งหลายหมื่น บางศพก็ตั้งแสน แต่ว่าสิ่งที่เป็นประโยชน์ไม่มี นอกจากเป็นเรื่องสนุกสนานเฮฮา เลิกงานแล้วขยะก็เต็มวัด พระเณรก็ต้องกวาดกันต่อไป อะไรที่มันจะเกิดคุณค่าทางจิตใจมันไม่ค่อยมี

อาตมามองเห็นสิ่งเหล่านี้ เมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้แล้ว เป็นคนที่เรียกว่า ทนไม่ได้ ที่จะเห็นญาติโยมต้องตกต่ำเสียหายในทางทรัพย์สมบัติและด้านจิตใจ ไอ้สูญเสียทรัพย์นี่ไม่เสียดาย แต่ว่าสูญเสียปัญญานี่มันเสียดาย สูญเสียคุณค่าแห่งความเป็นพุทธบริษัทนี้ อาตมาไม่สบายใจ เพราะฉะนั้นจึงเทศน์ให้เขาฟัง ไม่ได้เทศน์รุนแรงหรอก แต่ว่าเทศน์ชี้แจงว่าที่ถูกที่ต้องมันควรจะเป็นอย่างไร ควรจะทำกันอย่างไร ไอ้ที่ทำไปแล้ว มันก็แล้วไปนะ มันแก้ไม่ได้แล้ว แต่ว่าต่อไปข้างหน้า ใครจะทำศพนี่ ควรจะปรารภทำอย่างไร ควรจะแก้ไขประเพณีงานศพในรูปใดบ้าง เพื่อให้เขาได้คิด ได้เกิดความเข้าใจถูกต้อง

ทีนี้ เทศน์อย่างนี้ พอเทศน์จบลงไปแล้ว เขาว่า ไปนิมนต์เจ้าคุณนั้นมา แล้วแกด่าเราทุกที อ๊ะ! มันเป็นเสียอย่างนี้ ไอ้เราสอน เขากลับหาว่าด่า ไอ้ชมน่ะ เขาหาว่า เฮ้ย! พระองค์นี้พูดดี แต่ว่ามันไม่ได้อะไร เราชมให้เขาหลง ให้เขางมงาย มันได้อะไรขึ้นมา ท่านนักเทศน์เหล่านั้นขอโทษเถอะ คือ ท่านไม่ได้เทศน์เพื่อธรรมะ แต่เทศน์เพื่อเครื่องกัณฑ์อย่างเดียว

ปณิธานของท่านปัญญาฯ จะเป็นแสงสว่างแก่ชาวโลก ถ้าชาวพุทธเกิดปัญญาเห็นธรรม แล้วปฏิบัติตาม