posttoday

พระราชทานเพลิงศพ หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ หรือแม่ทัพโลก

05 พฤศจิกายน 2560

พระพรหมมังคลาจารย์ หรือที่ชาวพุทธรู้จักกันดีทั่วไปในนามของ “หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ”

โดย สมาน สุดโต

พระพรหมมังคลาจารย์ หรือที่ชาวพุทธรู้จักกันดีทั่วไปในนามของ “หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ” อดีตเจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษดิ์ มรณภาพ เมื่อวันที่ 10 ต.ค. 2550 ณ โรงพยาบาลศิริราช สิริอายุ 96 ปี แต่จะมีพิธีพระราชทานเพลิงศพ วันที่ 5 พ.ย. 2560

ท่านมีนามเดิมว่า ปั่น เสน่ห์เจริญ เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 11 พ.ค. 2454 ณ ต.คูหาสวรรค์ อ.เมือง จ.พัทลุง บรรพชาอายุ 18 ปี พร้อมทั้งเป็นครูใหญ่ในโรงเรียนประชาบาล เงินเดือนเดือนละ 25 บาท และเรียนนักธรรมไปพร้อมๆ กัน สามารถสอบนักธรรมตรีได้ที่ 1 ทั้งมณฑลภูเก็ต จนพระยาอมรศักดิ์ประสิทธิ์ (ทนง บุนนาค) เจ้าเมืองภูเก็ตขณะนั้น ถวายรางวัลผ้าไตร 1 ไตร นาฬิกา 1 เรือน หัวข้อกระทู้ธรรมในการสอบครั้งนั้นคือ “น สิยา โลกวฑฺฒโน - ไม่พึงเป็นคนรกโลก”

พระราชทานเพลิงศพ หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ หรือแม่ทัพโลก

อุปสมบทได้ 2 พรรษา ได้ร่วมกับท่าน โลกนาถ พระภิกษุชาวอิตาเลียน และพระไทยอีก 8 รูป สามเณร 1 รูป ธุดงค์ไปอินเดียผ่านพม่า กะว่า จะเผยแผ่ศาสนาถึงยุโรป แต่ไม่บรรลุเป้าหมายก็กลับไทยเส่ียก่อน

เมื่อกลับไทยไปจำพรรษาอยู่ที่วัดอุทัย อ.เมือง จ.สงขลา และสร้างตำนานการบรรยายธรรมนอกใบลาน ทันยุคสมัย จนเกิดการบอกเล่ากันปากต่อปาก ทำให้มีกิจนิมนต์ไปบรรยายธรรมอยู่มิได้ว่างเว้น พ.ศ. 2484-2486 ศึกษาภาษาบาลี ณ วัดสามพระยา แขวงวัดสามพระยา เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร สอบได้เปรียญธรรม 4 ประโยค แต่ไม่ได้เรียนต่อเพราะเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา (สงครามโลกครั้งที่ 2)

ดังกระฉ่อนที่เชียงใหม่

ไป จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 13 เม.ย. 2492 เริ่มเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วยการปาฐกถาธรรม โดยสร้างโรงมุงใบตองตึงขึ้นในที่ของชาวบ้าน เทศน์ทุกวันอาทิตย์และวันพระ ออกเทศน์ตามหมู่บ้านโดยรถยนต์ติดเครื่องขยายเสียงและเขียนเรื่องลงหนังสือพิมพ์ชาวเหนือ จนมี
ชื่อเสียงขึ้นที่ จ.เชียงใหม่ ในนาม “ภิกขุ ปัญญานันทะ” ผู้สนับสนุนคนสำคัญคือ เจ้าชื่น สิโรรส จำพรรษาอยู่ที่วัดอุโมงค์ นานถึง 11 พรรษา (พ.ศ. 2492-2502)

เจ้าอาวาสวัดชลประทานฯ

ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นที่ “พระปัญญานันทมุนี” เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 2499 กรมชลประทานอาราธนานิมนต์มาเป็นเจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษดิ์ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี และวันที่ 23 พ.ค. 2503 - ทำพิธีเปิดวัด และเจ้าคณะจังหวัดนนทบุรีประกาศแต่งตั้ง “พระปัญญานันทมุนี” เป็นเจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษดิ์

พระราชทานเพลิงศพ หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ หรือแม่ทัพโลก

เริ่มปฏิรูปพิธีกรรมทางศาสนาให้เป็นไปเพื่อส่งเสริมสติปัญญา ตามหลักการที่ว่า “เป็นระเบียบ เรียบง่าย ประหยัด และได้ประโยชน์”

เป็นแม่ทัพโลก

เมื่อท่านอายุ 80 ปี ได้รับแต่งตั้งเป็นแม่ทัพโลก โดยท่านพุทธทาสภิกขุ บันทึกเทปถวายตำแหน่ง “แม่ทัพโลก” ให้ท่านปัญญานันทภิกขุ ทำสงครามกับโลกความเห็นแก่ตัวซึ่งกำลังมีอยู่ในบัดนี้

ท่านพุทธทาส ที่เรียกตนเองว่าเป็นพี่ชาย และเรียกท่านปัญญานันทะว่าน้องชาย บอกความในใจว่า ความเห็นแก่ตัวกำลังครองโลก และจะครองยิ่งขึ้นๆ โลกใกล้ความวินาศ เพราะความเห็นแก่ตัว ท่านชี้ให้เห็น 2-3 ข้อว่า

เมื่อโลกยังไม่รู้จักทำน้ำแข็ง ทำน้ำแข็งไม่เป็น ยังไม่มีน้ำแข็งจะกินน่ะ คนในโลกมีจิตใจเยือกเย็นกว่ายุคที่มีน้ำแข็งกิน เมื่อคนยังไม่มีไฟฟ้าใช้ โลกที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ จิตใจของคนสว่างไสว ไม่มืดมนเหมือนกับคนยุคที่มีไฟฟ้าใช้ในยุคที่ไม่มีรถยนต์ ไม่มีเรือบิน คนไม่ไปเที่ยวกันที่อโคจรมากเหมือนเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้คนไปเที่ยวเล่นสนุกสนาน สรวลเสเฮฮา มีลักษณะเป็นอโคจรมากขึ้น ซึ่งไม่เคยมีในสมัยที่โลกไม่มีรถยนต์ และไม่มีเรือบิน

พระราชทานเพลิงศพ หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ หรือแม่ทัพโลก

เมื่อสิ่งเหล่านี้เพิ่มขึ้น มันหมายความว่า ด้วยอำนาจของความเห็นแก่ตัว ซึ่งเป็นกิเลส เป็นอวิชชา โลกก็ใกล้ความวินาศเข้าไปทุกที เดี๋ยวนี้มีประชาธิปไตยสำหรับเห็นแก่ตัว ใครจะใช้ประชาธิปไตยเพื่อเห็นแก่ตัวเท่าไรก็ได้ขอตั้งข้อรังเกียจคนเห็นแก่ตัว หรือความเห็นแก่ตัว ให้เป็นที่เข้าใจกันในบัดนี้ว่า มันเลวร้ายสักเท่าไร จนถึงกับต้องมีกองทัพโลก สำหรับปราบปรามความเห็นแก่ตัว ซึ่งมีอยู่ในโลก

ลักษณะความเห็นแก่ตัว

ท่านพุทธทาส บอกลักษณะของคนเห็นแก่ตัว คือ ขี้เกียจ ไม่ทำงาน แต่มันจะเอาผลงานคนเห็นแก่ตัว มันเอาเปรียบทุกอย่าง ทุกประการที่มันจะเอาเปรียบได้คนเห็นแก่ตัว มันอิจฉาริษยา ไม่อยากให้ใครได้ดีคนเห็นแก่ตัว เต็มไปด้วยกลโกงสำหรับหลอกลวง และพร้อมกันนั้นก็จองหอง พองขน ยกหูชูหาง คนเห็นแก่ตัว นี่ยุแหย่ให้คนแตกกันเป็นพวกๆ เพื่อประโยชน์ของตัว คนเห็นแก่ตัว ไม่มีความสามัคคี ชวนคนเห็นแก่ตัวมารวมกันสามัคคีพัฒนาประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง มันไม่ไหว มันไม่มา มันชวนยาก ชวนช้างลอดรูเข็มเสียยังง่ายกว่า เพราะว่าคนเห็นแก่ตัวนี่ไม่เห็นแก่อะไร มันเห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ความถูกต้อง ไม่เห็นแก่เพื่อนมนุษย์ที่ร้ายกาจ ก็คือ คนเห็นแก่ตัว นี้มันชอบรวยลัด ตามคำพูดของอันธพาลว่า “รวยลัด” มันทำงานเหงื่อไหลไคลย้อย นี่มันรวยช้า เพราะฉะนั้น ไปรวยลัด ปล้น จี้ เอาซึ่งหน้าเดี๋ยวนั้นในไม่กี่นาทีก็รวย นี่คนเห็นแก่ตัว มันชอบรวยลัด ทั้งหมดนี้เป็นลักษณะเฉพาะของคนที่เห็นแก่ตัว และกระทำแก่ตัวเอง และค่อยๆ ออกไปถึงสังคม ทำให้สังคมพลอยเดือดร้อน

ท่านพุทธทาส กล่าวว่า ความเห็นแก่ตัวระบาดไปทุกวงการทั้งนักการเมือง ชาวบ้าน ชาววัด

พระราชทานเพลิงศพ หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ หรือแม่ทัพโลก

 คนมั่งมีก็เห็นแก่ตัว คนยากจนก็เห็นแก่ตัว เศรษฐีก็เห็นแก่ตัว คนขอทานก็เห็นแก่ตัว นายจ้างก็เห็นแก่ตัว ลูกจ้างก็เห็นแก่ตัว กำลังเป็นปัญหาระหว่างนายจ้าง ลูกจ้าง เป็นปัญหาของประเทศทั่วโลก นี่เรียกว่า มันจะไม่มีอะไรเหลือ

เมื่อครูบาอาจารย์เกิดเห็นแก่ตัว ก็ทำนาบนหลังลูกศิษย์ ทำนาบนหลังนักเรียน ทำนาบนหลังผู้ปกครองของนักเรียน เมื่อหมอเห็นแก่ตัว ก็ทำนาบนหลังคนเจ็บไข้ คิดดูเอาเถอะ เมื่อตุลาการเห็นแก่ตัว ก็ทำนาบนหลังจำเลย เมื่อนักบวช พระเณร เห็นแก่ตัว ก็ทำนาบนหลังทายก ทายิกา อย่างที่เห็นๆ กันอยู่ทั่วไป ถ้ายิ่งผีสางเทวดาเห็นแก่ตัว ยิ่งจะยุ่งกันใหญ่ มันกินสินบนฟรี ถ้าเกิดมีพระเจ้ากินสินบนเข้ามาอีกสักรายละก็ ยุ่งใหญ่ ทีนี้ก็หมดเลย อ้อนวอนพระเจ้าผู้เห็นแก่ตัว ไม่มีทางจะสำเร็จ หลวงพ่อพุทธทาส ขอให้เราประกาศสงครามกับความเห็นแก่ตัวในโลก ตั้งกองทัพโลกสำหรับทำสงครามกับความเห็นแก่ตัว ต้องระดมกำลังทุกศาสนามาร่วมมือกำจัดความเห็นแก่ตัว

โลกเป็นสุขถ้าไม่มีความเห็นแก่ตัว

ท่านพุทธทาสสรุปว่า ถ้าไม่มีความเห็นแก่ตัว โลกก็เป็นสุข มีสันติ จึงแต่งตั้งท่านปัญญานันทภิกขุ ให้เป็นแม่ทัพโลก ทำสงครามต่อสู้กันระหว่างโลกที่เห็นแก่ตัว กับโลกผู้ไม่เห็นแก่ตัว เมื่อวันที่ 11 พ.ค. 2534 ณ วัดชลประทานรังสฤษดิ์

วันที่ 5 พ.ย. 2560 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ มาพระราชทานเพลิงศพ แม่ทัพโลก ในบรรยากาศที่ทางวัดกำหนดให้เป็น “ดอกไม้ใจ แทนดอกไม้จันทน์” สลายสรีรธาตุ ประกาศสัจธรรม หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ