posttoday

สหชาติ..มิใช่บังเอิญแต่เกิดเพื่อมหาบุรุษ

28 สิงหาคม 2554

พระพุทธเจ้าทรงเป็นบุคคลสำคัญของโลก โดยในวันที่พระองค์ประสูตินั้น

พระพุทธเจ้าทรงเป็นบุคคลสำคัญของโลก โดยในวันที่พระองค์ประสูตินั้น

โดย..อ.ตุ้ย วรธรรม

โลกธาตุก็ได้บังเกิดมหัศจรรย์หวั่นไหว พระอาทิตย์ทอแสงอ่อนๆ มนุษย์และสัตว์ไม่รู้สึกร้อนกายและใจ มหาเมฆตั้งขึ้นทั่วทิศยังฝนให้ตกลงในที่นั้นๆ โดยรอบ ทั่วทุกทิศสว่างไสว ไม่ต่างจากคราวเสด็จลงปฏิสนธิในพระครรภ์พระมารดา

ในวันวิสาขบูชา หรือวันเพ็ญเดือน 6 อันเป็นวันประสูติของพระองค์นั้น ได้เกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้นอีกอย่างหนึ่ง คือ ได้มีบุคคล สัตว์ และสิ่งที่เป็นสหชาติมงคลบังเกิดร่วมด้วยถึง 7 อย่างทีเดียวเรียกกันว่า “สหชาติ” แปลว่าเกิดพร้อมพระองค์ในวันนั้น ได้แก่

พระนางพิมพา หรือ พระนางยโสธรา เป็นพระราชธิดาของพระเจ้าสุปปพุทธะแห่งกรุงเทวทหะ และเป็นพระกนิษฐภคินี (น้องสาว) ของเจ้าชายเทวทัต มีความสำคัญโดยได้อภิเษกสมรสกับเจ้าชายสิทธัตถะขณะมีพระชนมายุได้ 16 พรรษา ทั้งเป็นพระมารดาของพระราหุล ภายหลังออกบวชมีนามว่าพระภัททกัจจานาเถรี

พระอานนท์ เป็นโอรสของพระเจ้าสุกโกทนะ ซึ่งเป็นพระเจ้าอาของเจ้าชายสิทธัตถะ มีความสำคัญโดยท่านได้รับเลือกเป็นพระอุปัฏฐากประจำพระองค์ของพระพุทธเจ้า ได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะในหลายด้าน บรรลุพระอรหันต์หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว 3 เดือน เป็นกำลังสำคัญในคราวทำสังคายนาครั้งที่ 1

ดำรงชีวิตสืบมาจนถึงอายุได้ 120 ปี จึงปรินิพพาน โดยการปรินิพพานของท่านแตกต่างจากสาวกทั่วไป คือ ท่านปรินิพพานในอากาศ เหนือแม่น้ำโรหิณี ซึ่งเป็นเส้นกั้นแดนระหว่างแคว้นของพระญาติสองฝ่าย ทั้งศากยวงศ์และโกลิยวงศ์

นายฉันนะ เป็นอำมาตย์คนสนิทและเป็นสารถีของเจ้าชายสิทธัตถะในพระราชวัง ตอนที่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบรรพชาตอนพระชนมายุ 29 พรรษา นายฉันนะนี่แหละตามเสด็จไปด้วย พร้อมกับนำเครื่องอาภรณ์และคำกราบทูลของเจ้าชายสิทธัตถะกลับกรุงกบิลพัสดุ์ ภายหลังบวชเป็นภิกษุ ทว่าเกิดความถือตัวว่าเป็นคนใกล้ชิดพระพุทธเจ้ามาก่อนใครว่าก็ไม่ฟัง ภายหลังที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วถูกสงฆ์ลงพรหมทัณฑ์ (ลงโทษห้ามใครยุ่งเกี่ยวห้ามพูดห้ามคุยด้วย) หายพยศและได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์

กาฬุทายีอำมาตย์ เป็นพระสหายสนิทของเจ้าชายสิทธัตถะเมื่อครั้งทรงพระเยาว์ เป็นบุคคลที่ได้รับพระราชโองการจากพระเจ้าสุทโธทนะให้ไปกราบทูลเชิญพระพุทธเจ้าเสด็จกลับมายังเมืองกบิลพัสดุ์ แต่เมื่อไปถึงก็ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าจนได้บรรลุพระอรหัตผล อุปสมบทเป็นภิกษุแล้วจึงได้ทูลเชิญพร้อมภิกษุสงฆ์เสด็จกรุงกบิลพัสดุ์ ท่านได้รับเอตทัคคะจากพระพุทธเจ้าว่า เป็นผู้ทำตระกูลให้เลื่อมใส

ม้ากัณฐกะ เป็นม้าที่นั่งของเจ้าชายสิทธัตถะ ตัวม้าจากคอถึงหางยาว 18 ศอก มีสีขาวผ่องเหมือนเปลือกหอยสังข์ที่ขาวสะอาด สวยงาม นอกจากเป็นม้าทรงของเจ้าชายแล้ว ในราตรีที่เจ้าชายเสด็จหนีจากพระราชวังเพื่อผนวชนั้นก็ทรงม้านี้ โดยการเดินทางคืนนั้นมีนายฉันนะเกาะหางม้าไปด้วย เมื่อเดินทางถึงแม่น้ำอโนมาได้กระโดดครั้งเดียวก็ข้ามแม่น้ำอโนมาได้ ทว่าเมื่อข้ามฝั่งแม่น้ำแล้วเจ้าชายสิทธัตถะผู้เป็นนายได้รับสั่งให้กลับเมืองกบิลพัสดุ์พร้อมกับฉันนะ กัณฐกะไม่อยากกลับจึงได้แต่เหลียวมอง ครั้นพอเจ้าชายลับสายตาไปกัณฐกะก็ถึงแก่ความตายเพราะเกิดเสียใจอย่างมาก แต่ด้วยความภักดีนี้ทำให้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีชื่อว่า “กัณฐกเทวบุตร”

ต้นมหาโพธิ ตอนที่ยังไม่ได้ตรัสรู้ขณะนั้นพระชนมายุได้ 35 พรรษา ทรงบำเพ็ญเพียรจนได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ ใกล้แม่น้ำเนรัญชรา โดยต้นพระศรีมหาโพธิต้นที่เกิดพร้อมกับเจ้าชายสิทธัตถะนี้มีอายุ 305 ปี

ขุมทรัพย์ทั้งสี่ ได้แก่ สังขนิธิ เอลนิธิอุบลนิธิ ปุณฑริกนิธิ เกิดขึ้นที่มุมกำแพงพระนครทั้ง 4 ด้าน โดยลึกไปจดที่สุดของแผ่นดิน เกิดขึ้นเพื่อให้เจ้าชายเลือก ถ้าอยากเป็นกษัตริย์ครองเมืองก็จะได้ใช้ขุมทรัพย์นี้มาบริหาร แต่เมื่อเลือกผนวชขุมทรัพย์พวกนี้ก็หายไปเพราะไม่จำเป็นต้องใช้

สหชาติทั้ง 7 มิใช่เกิดขึ้นโดยบังเกิด แต่เกิดมาเพื่อมหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกโดยแท้