ยุบสภากลางเกมอำนาจ เขย่า3ขั้วการเมืองไทยรับการเลือกตั้ง69
การยุบสภาของอนุทินก่อนครบ MOA ไม่ใช่แค่จบรัฐบาล แต่เปิดสนามเลือกตั้งที่แข่งกันด้วย “ชุดความคิด” ระหว่างอนุรักษ์นิยม ก้าวหน้า และอดีตอำนาจเดิม
KEY
POINTS
- ยุบสภาไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็นหมากที่วางไว้ล่วงหน้า
- เลือกตั้งใหม่คือศึกสามขั้ว แข่งกันด้วยอุดมการณ์
- ทิศทางประเทศขึ้นกับการจับขั้วหลังวันนับคะแนน
เกมยุบสภา จุดแตกหักรัฐธรรมนูญและ MOA ที่ไม่เคยมั่นคง
การยุบสภาผู้แทนราษฎรโดยนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล เกิดขึ้นในจังหวะที่หลายฝ่ายมองว่า “ไม่เหนือความคาดหมาย” แต่มีนัยสำคัญทางการเมืองอย่างยิ่ง เพราะเกิดขึ้นก่อนครบกำหนดข้อตกลง MOA กับพรรคประชาชน และก่อนที่ฝ่ายค้านจะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจเพียงไม่กี่ก้าว
รองศาสตราจารย์ ดร.นันทนา นันทวโรภาส ชี้ว่า จุดแตกหักแท้จริงอยู่ที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะบทบาทวุฒิสภา ซึ่งสะท้อนชัดว่าพรรคภูมิใจไทยไม่มีเจตจำนงเดินหน้าแก้ไขอย่างจริงจัง พฤติกรรมการ “วอล์กเอาต์” เมื่อเผชิญญัตติรัฐธรรมนูญในอดีต คือสัญญาณที่ถูกส่งซ้ำมาแล้วหลายครั้ง
ในมุมของนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ การยุบสภาครั้งนี้ไม่ใช่การตัดสินใจฉุกละหุก แต่เป็นแผนที่วางไว้ล่วงหน้า การฉีก MOA จึงไม่ใช่อุบัติเหตุทางการเมือง หากเป็นการเลือกจังหวะที่รัฐบาลได้ประโยชน์สูงสุด ทั้งการเลี่ยงการตรวจสอบ บรรลุเป้าหมายเชิงนโยบาย และอาศัยกระแสชาตินิยมจากสถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนเป็นแรงเสริมอำนาจ
สีน้ำเงิน ส้ม แดง สามขั้วการเมืองในสนามเลือกตั้งใหม่
การเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงถูกมองว่าเป็นการแข่งขันของ “สามขั้วหลัก” อย่างชัดเจน โดยแต่ละพรรคไม่ได้แข่งกันแค่จำนวนที่นั่ง แต่แข่งกันด้วยอุดมการณ์และภาพแทนของประเทศในอนาคต
พรรคภูมิใจไทย หรือขั้วสีน้ำเงิน ถูกประเมินว่ามีความพร้อมสูงสุด นายสุรนันทน์มองว่า พรรคนี้ยืนหนึ่งในฝั่งอนุรักษ์นิยมอย่างเต็มตัว หลังพรรคเพื่อไทยสะดุดทางการเมือง การโหวตสอดคล้องกับ ส.ว. ในวาระแก้รัฐธรรมนูญตอกย้ำภาพการยึดโยงกับโครงสร้างอำนาจเดิม ขณะเดียวกัน ความ “เก๋าเกม” และความเขี้ยวทางการเมือง ทำให้ภูมิใจไทยมั่นใจว่าการตัดสินใจยุบสภาคือหมากจำเป็นเพื่อรักษาเสถียรภาพและอธิบายได้ต่อฐานเสียง
ฐาน ส.ส. เขตของภูมิใจไทยถือว่าแข็งแรง โดยเฉพาะในภาคอีสานใต้ มีการคาดการณ์ว่าสามารถเพิ่มจำนวน ส.ส. จากเดิมกว่า 70 ที่นั่ง ไปแตะระดับสามหลักได้ อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนสำคัญคือไม่ใช่พรรคกระแส และยังเจาะเมืองหลวงได้จำกัด
พรรคประชาชน หรือขั้วสีส้ม ถูกมองว่าเป็นตัวแทนความตรงไปตรงมาและความหวังการเปลี่ยนแปลง ดร.นันทนามองว่า MOA ที่ทำไว้มีลักษณะหลวม ไม่มีหลักประกัน และการมอบตำแหน่งนายกฯ โดยไม่ผูกเงื่อนไขชัดเจน เปรียบเหมือน “ส่งกุญแจรถให้คนเมาขับ” นายสุรนันทน์เสริมว่า พรรคประชาชนยังมีความไร้เดียงสาทางการเมือง และเชื่อว่าระบบจะเดินตามอุดมคติ
ความท้าทายของพรรคประชาชนคือการสื่อสาร หากยังยึดติดกับประเด็นฉีก MOA หรือการแก้รัฐธรรมนูญเพียงอย่างเดียว อาจไม่ตอบโจทย์ปากท้องประชาชน พรรคจำเป็นต้องเชื่อมโยงวาระก้าวหน้าเข้ากับเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ ขณะที่ฐานเสียงในกรุงเทพฯ ยังแข็งแรง และมีโอกาสดึงกลุ่มผู้ยังไม่ตัดสินใจได้ หากกระแสไม่สะดุด
พรรคเพื่อไทย หรือขั้วสีแดง ถูกประเมินว่าไม่ใช่พรรคกระแสอีกต่อไป ความท้าทายสำคัญคือการอธิบายความผิดพลาดทางการเมืองตลอดสองปีที่ผ่านมา และการสูญเสียพื้นที่ในภาคอีสานให้ภูมิใจไทย การคาดการณ์จำนวน ส.ส. เขตอยู่ที่ราว 80–100 ที่นั่ง แต่ขึ้นกับระดับการถูก “กินพื้นที่” จากสีน้ำเงินอย่างมีนัยสำคัญ
การเมืองสามก๊ก บทสรุปที่ยังไม่ปิดฉากหลังวันเลือกตั้ง
นักวิเคราะห์เห็นตรงกันว่า ภูมิทัศน์การเมืองหลังเลือกตั้งจะเป็นแบบ “สามก๊ก” มากกว่าการขาดลอยของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยมีแนวโน้มสูงที่ภูมิใจไทยและพรรคประชาชนจะขับเคี่ยวเป็นอันดับหนึ่งและสอง ขณะที่เพื่อไทยอาจถอยลงมาเป็นอันดับสาม
ปัจจัยภายนอกยังมีบทบาทสำคัญ ทั้งสถานการณ์ภัยพิบัติในภาคใต้ หรือความตึงเครียดชายแดนที่กระตุ้นกระแสชาตินิยม ซึ่งมักเอื้อฝ่ายที่อยู่ในอำนาจ นายสุรนันทน์ชี้ว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่แค่เลือกพรรค แต่คือการเลือก “ชุดความคิด” ระหว่างอนุรักษ์นิยมกับก้าวหน้า
ท้ายที่สุด คำตอบของประเทศไม่ได้อยู่แค่ผลคะแนนในคูหา แต่จะชัดเจนหลังการจับขั้วจัดตั้งรัฐบาล ว่าขั้วใดจะเลือกเดินร่วมกับใคร และประเทศไทยจะมุ่งหน้าไปในทิศทางใดต่อจากนี้
เรียบเรียง : อมรเดช ชูสุวรรณ บรรณาธิการข่าวการเมือง
ที่มา : รายการคมชัดลึก (คลิ๊กชม)


