น้ำท่วมหาดใหญ่ ระบบรัฐล้มเหลวจมมิด เสียงเตือนจากประชาธิปัตย์
วิกฤตน้ำท่วมหาดใหญ่สะท้อนความผิดพลาดเชิงระบบ ตั้งแต่การประเมินสถานการณ์คลาดเคลื่อน การสั่งการไม่เป็นเอกภาพ ถึงโครงสร้างรวมศูนย์ที่ทำให้ท้องถิ่นไร้อำนาจรับมือ
KEY
POINTS
- การสั่งการผิดพลาด–ประสานงานล้มเหลว ระดับน้ำ-การอพยพ-ศูนย์บัญชาการ ไม่เชื่อมกัน
- เรียกร้องใช้กฎหมายพิเศษและลดขั้นตอนราชการ เพื่อเยียวยาให้ถึงมือประชาชนเร็วที่สุด
- เสนอปรับโครงสร้างน้ำ–กระจายอำนาจท้องถิ่น เพื่อป้องกันวิกฤตซ้ำและฟื้นเมืองยั่งยืน
น้ำท่วมหาดใหญ่: วิกฤตที่โปะเชื้อปัญหาเก่า–การเมืองใหม่ของการกระจายอำนาจ
เมื่อมหาอุทกภัยซัดเข้าหาดใหญ่แบบไม่ทันตั้งตัว เมืองเศรษฐกิจใหญ่สุดของภาคใต้ตอนล่างกลับกลายเป็นทะเลน้ำเชี่ยวชั่วข้ามคืน และครั้งนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องภัยธรรมชาติ แต่เป็นภาพสะท้อน “ระบบบริหารจัดการน้ำ–ระบบบริหารประเทศ” ที่ไม่เคยแก้จริงจังมานานหลายสิบปี
เสียงวิจารณ์ที่ดังก้องที่สุดมาจาก ชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช และ ถาวร เสนเนียม อดีต สส.สงขลา สองคนเมืองผู้เห็นหน้าเห็นหลังน้ำหาดใหญ่มานับรอบ
พวกเขาเห็นความเสียหายครั้งนี้ไม่ใช่อุบัติภัยธรรมดา แต่เป็นสัญญาณชัดเจนว่า “ระบบล้มเหลวตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ”
เมื่อคำว่า ‘เอาอยู่’ กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความผิดพลาด
การประเมินสถานการณ์ผิดพลาดคือบาดแผลแรกที่เห็นเต็มตา ทั้งจากฝั่งท้องถิ่นและส่วนภูมิภาค
นายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่ ‘นายกแป้น’ แม้เตรียมการด้านเครื่องสูบ ขุดลอกคลอง ตรวจเช็กระบบอย่างเต็มที่ แต่การไลฟ์สดประกาศว่า “หาดใหญ่เอาอยู่” กลายเป็นชนวนทำให้ประชาชนประมาท ไม่รีบขนของ และคิดว่ารัฐประเมินแล้วว่าสถานการณ์ไม่น่าเป็นห่วง
"ถาวร" ชี้ว่า นายกเทศมนตรีไม่จำเป็นต้องลาออก แต่ต้องอยู่พิสูจน์ฝีมือการฟื้นฟูและแก้โครงสร้างน้ำให้เมืองกลับมายืนได้มั่นคงกว่าเดิม
ขณะเดียวกัน ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ก็ถูกตั้งคำถามเรื่องการประเมินปริมาณน้ำจากต้นทางผิดพลาด แม้จะย้ายมาประจำไม่กี่เดือน แต่ก็ถือว่ามีอำนาจสั่งการและควรตั้ง “ศูนย์บัญชาการร่วม” ให้การอพยพและการสื่อสารเป็นหนึ่งเดียว แต่กลับไม่เกิดขึ้น
ภาพใหญ่ที่เห็นชัด: รัฐรวมศูนย์ แต่การสั่งการขาดตอน
ทั้ง"ชัยชนะ"และ"ถาวร" ชี้ตรงกันว่า ความล้มเหลวของระบบราชการรวมศูนย์ คือหัวใจของวิกฤตครั้งนี้
- ส่วนกลางรอรายงานจากส่วนล่าง
- ส่วนล่างรอคำสั่งจากส่วนบน
- ท้องถิ่นทำงานเองได้ไม่เต็มที่เพราะต้องขออนุมัติทุกขั้น
ผลลัพธ์คือการอพยพ–การช่วยเหลือ–การตั้งศูนย์บัญชาการ
ล่าช้าเกินไป 2–3 วันในสถานการณ์ที่ควรนับเวลาเป็นชั่วโมง
ตัวเลขน้ำที่เกินศักยภาพเมืองตั้งแต่ต้น
ชัดเจนว่าปริมาณน้ำที่ไหลเข้าหาดใหญ่ 2,600 ลบ.ม./วินาที เกินความสามารถระบบระบายซึ่งรองรับได้เพียง 2,000 ลบ.ม./วินาที นี่คือสัญญาณเตือนมานาน แต่ไม่เคยมีการขยายคลอง–เพิ่มช่องระบาย–หรือสร้างระบบใหม่รองรับความจริงที่เปลี่ยนไป
น้ำท่วมครั้งนี้จึงกลายเป็น “ที่สุดในประวัติศาสตร์หาดใหญ่” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หลังน้ำลด: รัฐติดกับดักเอกสาร–ประชาชนรอเยียวยา
สิ่งที่รออยู่หลังน้ำคือกองขยะหลายแสนตันที่ต้องกำจัดใน 14 วันตามคำสั่งนายกฯ
แต่ทั้งชัยชนะและถาวรตั้งคำถามว่า “เป็นไปได้จริงหรือ?”
ด้านเงินเยียวยา 9,000 บาทที่ควรถึงมือประชาชนเร็วที่สุด กลับติด ด่านราชการและความกลัวหน่วยตรวจสอบ ทำให้การขอเอกสารซับซ้อนเกินไป เช่น ต้องทำประชาคม หรือหาหลักฐานที่หายไปกับน้ำท่วม
ชัยชนะเสนอว่า
“จ่ายตามบ้านเลขที่ที่ถูกน้ำก่อน แล้วค่อยตรวจทีหลัง”
เพื่อให้คนเดือดร้อนรับเงินทันที
ใช้อำนาจพิเศษปลดล็อกระบบราชการที่ช้าเกินไป
ถาวรเสนอให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ออกประกาศตาม มาตรา 17 พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อคุ้มครองเจ้าหน้าที่จากความผิดทั้งอาญา–แพ่ง–วินัย หากทำงานสุจริตและจำเป็นเร่งด่วน
นี่คือทางลัดสำคัญที่ทำให้การฟื้นฟูเร็วขึ้น โดยไม่ต้องให้เจ้าหน้าที่กลัว “ผิดระเบียบ” มากกว่ากลัว “ประชาชนเดือดร้อน”
บทเรียนใหญ่สุด: ถึงเวลาปฏิวัติระบบกระจายอำนาจไทย
เสียงเรียกร้องจากสองนักการเมืองสีฟ้าไปในทิศทางเดียวกัน
ถ้าไม่กระจายอำนาจให้องค์กรปกครองท้องถิ่น วิกฤตแบบนี้จะเกิดซ้ำ
- งบประมาณปีนี้กระจายสู่ท้องถิ่นไม่ถึง 30% ทั้งที่รัฐธรรมนูญ 2540 ระบุขั้นต่ำ 35%
- ท้องถิ่นมาจากการเลือกตั้ง แต่สั่งการแทบไม่ได้เพราะขาดอำนาจจัดซื้อ–จัดจ้าง
- ถ้ารัฐบาลต้องการให้ขยะหลายแสนตันถูกกำจัดภายใน 14 วัน ต้อง มอบอำนาจตรงให้เทศบาล
อนาคตหาดใหญ่: วิกฤตนี้คือโอกาสเริ่มต้นระบบใหม่
"ถาวร"เสนอให้รัฐบาลทบทวนโครงสร้างน้ำทั้งระบบ ขยายคลองหลัก ร.1 และคลองสายรอง หรือขุดคลองเพิ่ม เพื่อนำน้ำลงทะเลเร็วขึ้น เพราะหาดใหญ่คือ “หัวใจเศรษฐกิจใต้” ที่ไม่อาจถูกปล่อยให้จมซ้ำ
ทั้ง"ถาวร"และ"ชัยชนะ"เชื่อว่า หาดใหญ่จะฟื้นกลับได้และอาจกลับมาดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ หากรัฐบาลคืนความสุขให้ประชาชนก่อนปีใหม่ ด้วยเมืองที่สะอาด ปลอดภัย และมีแผนป้องกันน้ำท่วมชัดเจนระยะยาว
น้ำท่วมหาดใหญ่ครั้งนี้ไม่ได้ท่วมเพียงถนนและบ้านเรือน แต่ท่วม “ระบบราชการรวมศูนย์” ของไทยจนเห็นทุกรอยต่อที่หลวมคลอนอย่างชัดเจน
วิกฤตนี้จึงไม่ใช่เพียงบททดสอบการบริหาร แต่คือสัญญาณเตือนว่า ถ้าไม่กล้ากระจายอำนาจ และไม่กล้าใช้เครื่องมือพิเศษในยามคับขัน เมืองใหญ่ของประเทศจะไม่มีวันยืนหยัดสู้ภัยพิบัติในศตวรรษใหม่ได้เลย
ที่มา : รายการคมชัดลึก (คลิ๊กชม)
เรียบเรียง : อมรเดช ชูสุวรรณ บรรณาธิการข่าวการเมือง


