posttoday

"นันทนา"ท้าชนสว.สายน้ำเงิน สู้ “โทษประหารชีวิตทางการเมือง”

31 ตุลาคม 2568

หลังถูกมติ 130 เสียงชี้ผิดจริยธรรมร้ายแรง สว.นันทนา นันทวโรภาส ยืนยันสู้กระบวนการ ป.ป.ช.–ศาลฎีกา ชี้เป็น “SLAPP ปิดปาก” คนตรวจสอบอำนาจในวุฒิสภา

KEY

POINTS

  • สว.นันทนา นันทวโรภาส ถูกวุฒิสภาลงมติ 130 เสียงว่ากระทำผิดจริยธรรมร้ายแรง จากกรณีตั้งคำถามถึงการจัดสรรตำแหน่งในคณะกรรมาธิการ
  • สว.นันทนาเชื่อว่าตนถูกสกัดบทบาททางการเมืองจากการตรวจสอบกรณี "ฮั้ว สว." และชี้ว่ากระบวนการสอบสวนไม่เป็นธรรมเนื่องจากกรรมการมีส่วนได้เสีย
  • คดีจะถูกส่งต่อไปยัง ป.ป.ช. และศาลฎีกา ซึ่งหากถูกตัดสินว่าผิดจริงอาจนำไปสู่การถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิต หรือที่เธอเรียกว่า "โทษประหารชีวิตทางการเมือง"

จุดเริ่มต้นของมติสะเทือนสภาสูง

สองวันหลังมติร้อนแรงในวุฒิสภา ตัวเลข 130 เสียงกลายเป็นสัญลักษณ์ของ “การลงดาบ” ต่อเสียงข้างน้อย เมื่อสมาชิกวุฒิสภามีมติว่าดร.นันทนา นันทวโรภาส กระทำผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง จากกรณีที่เธอเคยตั้งคำถามถึง “การจัดสรรตำแหน่งในคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง” ว่ามีความเหมาะสมเพียงใด หลังถูกปลดจากกรรมาธิการ ทั้งที่มีความถนัดด้านสื่อสารการเมือง

ถ้อยคำ “คนขายหมู” ที่เธอกล่าวถึงในการอภิปราย กลายเป็นวลีที่ถูกนำมาใช้ “ตัดสินชะตา” โดยถูกตีความว่าเป็นการดูหมิ่นอาชีพ ทั้งที่เธอยืนยันว่าเจตนามุ่งชี้ให้เห็นถึง “ความไม่ตรงฝีมือกับหน้าที่” มากกว่าเป็นการด้อยค่าใคร การลงมติครั้งนี้เกิดขึ้นหลังคณะกรรมการจริยธรรมวุฒิสภาเสนอความเห็นชี้มูลว่ามีความผิด 8 ข้อ ก่อนเข้าสู่การประชุมลับของสภา
 

เมื่อเสียงข้างน้อยถูก“เป้าล็อก”

สว.นันทนามองว่า การดำเนินคดีนี้ไม่ใช่เรื่อง “คำพูด” หากแต่เป็นการ “สกัดบทบาท” ทางการเมือง เธอเชื่อว่าตนเองตกเป็นเป้าจากการตรวจสอบ “ฮั้ว สว.” ที่เกี่ยวข้องกับการเลือกองค์กรอิสระ และพยายามขัดขวางไม่ให้สมาชิกที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนเข้ามามีส่วนร่วมในการลงมติเลือกบุคคลในตำแหน่งสำคัญ

“ดิฉันไม่ได้ต่อสู้เพื่อเก้าอี้ แต่เพื่อหลักการ” เธอกล่าว พร้อมยืนยันว่า สว. หลายคนไม่พอใจที่เธอเปิดเผยข้อมูลการทำงานของสภาต่อสาธารณะ เธอเคยถูกปิดไมค์ตั้งแต่เดือนแรก ๆ ของการทำงาน หลังอภิปรายเรื่องสิทธิเสรีภาพทางวิชาการและการคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ประชามติ และมองว่าทั้งหมดคือภาพสะท้อนของความพยายามควบคุมเสียงที่แตกต่าง
 

การสอบสวนที่ “ไม่เป็นธรรมตั้งแต่ต้น”

ในมุมมองของ สว.นันทนา สิ่งที่เผชิญไม่ต่างจาก “กระบวนการยุติธรรมที่ตั้งต้นจากความลำเอียง” เพราะในคณะกรรมการจริยธรรม 22 คน มีถึง 15 คนที่มีรายชื่ออยู่ในคดี “ฮั้ว สว.” ซึ่งเธอเคยเป็นผู้ร้อง เธอยื่นคำร้องขอให้ถอนตัว แต่กลับถูกลงมติ “ไม่รับคำคัดค้าน”

เส้นทางต่อสู้: จาก ป.ป.ช. สู่ศาลฎีกา


เธอยังถูกจำกัดสิทธิ์ในการเข้าชี้แจง ไม่สามารถนำทนายเข้าห้องประชุม และถูกห้ามใช้โทรศัพท์มือถือ สุดท้ายจึงปฏิเสธที่จะเข้าให้ปากคำต่อคณะกรรมการชุดนี้ พร้อมระบุว่า “กระบวนการไม่ชอบมาตั้งแต่ต้น” ผลคือถูกวุฒิสภามีมติว่าผิดจริยธรรมร้ายแรง และเตรียมส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณาต่อ

ขั้นตอนต่อไปคือ ป.ป.ช. จะตรวจสอบว่ามีมูลหรือไม่ หากเห็นว่ามี จะส่งฟ้องต่อศาลฎีกา ซึ่งอาจนำไปสู่การ “พักงาน” ทันทีระหว่างพิจารณา และหากศาลตัดสินว่าผิดจริง โทษสูงสุดคือ “ตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิต” เธอเรียกสิ่งนี้ว่า “โทษประหารชีวิตทางการเมือง”

แม้เส้นทางจะดูมืดมน แต่เธอยืนยันจะสู้ในชั้น ป.ป.ช. โดยเน้นการชี้ให้เห็นถึง “ความไม่เป็นกลางของกรรมการ 15 คน” ที่มีส่วนได้เสียในคดี เธอยังกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “นี่ไม่ใช่การต่อสู้ของฉันคนเดียว แต่คือการต่อสู้ของทุกเสียงที่ยังเชื่อในความยุติธรรม”
 

อุดมการณ์ที่ไม่ยอมสลาย

สว.นันทนา ย้ำว่า เธอไม่ได้มีเจตนาด้อยค่าอาชีพใด ๆ และยกคำให้การในศาลหมิ่นประมาทที่คู่กรณีระบุว่า “รู้สึกภูมิใจในอาชีพขายหมู” ว่าเป็นหลักฐานชัดว่า “ไม่มีใครถูกดูหมิ่น” เธอยังย้ำหลักการ “Put the right man on the right job” คือหัวใจของการตรวจสอบรัฐสภา

เธอเรียกตนเองว่า “เครื่องมือของประชาชน” มากกว่าจะเป็นนักการเมือง ยืนยันจะสู้เพื่อผลักดันการแก้รัฐธรรมนูญ และตรวจสอบการใช้อำนาจในวุฒิสภา แม้จะต้องสูญเสียทุกอย่างไป

เงาอำนาจในวุฒิสภาอนาคตทางการเมืองไทย

ในตอนท้าย เธอเตือนว่า สิ่งที่เกิดขึ้นอาจไม่หยุดแค่เธอคนเดียว เพราะกลุ่ม สว.อิสระ 17 คนที่เคยลงชื่อถอดถอน “ฮั้ว สว.” อาจถูกกดดันตามมา “นี่คือ SLAPP ปิดปากในเวอร์ชันของรัฐสภา” เธอกล่าว

เธอแสดงความกังวลต่ออำนาจของวุฒิสภาในการเลือกองค์กรอิสระ โดยเฉพาะเมื่อวาระของ สว. ชุดนี้สิ้นสุดลงในอีก 5 ปี แต่กรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งจะอยู่ต่ออีก 7–9 ปี กลายเป็น “มรดกบาป” ที่ส่งผลต่อความยุติธรรมของประเทศ

เธอสรุปด้วยข้อเสนอทางการเมืองที่แรงและตรงไปตรงมา — “ถึงเวลายุบสภา ให้ประชาชนเป็นคนตัดสินอนาคตประเทศอีกครั้ง”

กรณีของ “สว.นันทนา นันทวโรภาส” ไม่ได้สะท้อนเพียงการขัดแย้งส่วนบุคคล แต่คือภาพจำลองของ “การต่อสู้ระหว่างอำนาจกับความถูกต้อง” ในระบบการเมืองไทย เมื่อเสียงของคนตรวจสอบถูกทำให้เงียบลง คำถามที่ยังค้างอยู่คือ — ใครกันแน่ที่ละเมิดจริยธรรมร้ายแรงกว่ากัน ระหว่างคนพูด หรือคนปิดไมค์?

ที่มา: รายการคมชัดลึก (คลิ๊กชม)
เรียบเรียง : อมรเดช ชูสุวรรณ

ข่าวล่าสุด

ดูบอลสด ถ่ายทอดสด ฟูแล่ม พบ คริสตัล พาเลซ พรีเมียร์ลีก วันนี้ 7 ธ.ค.68