ข้อตกลงไทย-กัมพูชา: สันติภาพเก่าในขวดใหม่ ภายใต้เงา 'ทรัมป์'
ข้อตกลงสันติภาพ ไทย-กัมพูชา แสดงให้เห็นลีลาทางการทูตของผู้นำสหรัฐ ในการจัดระเบียบภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาค สกัดกั้นอิทธิพลของจีนทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจชัดเจน
ภาพการลงนามข้อตกลงสันติภาพระหว่างนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล และนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกในฐานะความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์ โดยมีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา และนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม แห่งมาเลเซียเป็นสักขีพยาน ประกาศถึงการยุติความขัดแย้งบริเวณชายแดนที่ดำเนินมาหลายเดือน โดยปราศจากเงาของจีน พี่ใหญ่ในภูมิภาค เข้ามามีส่วนร่วม
แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียด จะพบว่าข้อตกลงสันติภาพฉบับนี้ ไม่ได้นำเสนอหลักการใหม่ แต่เป็นการรวบรวมข้อเรียกร้องเดิมๆ จากการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC)
• ข้อเรียกร้อง 4 ข้อของฝ่ายไทย: ประเด็นหลักที่ไทยผลักดันและได้รับการบรรจุไว้อย่างครบถ้วน คือ
◦ การถอนอาวุธหนักออกจากแนวชายแดน
◦ การประสานงานเพื่อเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม
◦ การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์
◦ การจัดการปัญหาการรุกล้ำชายแดน
• ข้อเรียกร้องของฝ่ายกัมพูชา: ประเด็นที่ได้รับการตอบสนองคือการที่ฝ่ายไทยจะดำเนินการปล่อยตัวเชลยศึกชาวกัมพูชาจำนวน 18 นาย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ข้อตกลงนี้ "ใหม่" ไม่ใช่เนื้อหา แต่คือกลไกการบังคับใช้ ด้วยการจัดตั้ง คณะผู้สังเกตการณ์จากอาเซียน (ASEAN Observer Team - AOT) ขึ้นเป็นครั้งแรก ทำหน้าที่กำกับดูแลการหยุดยิง และลดความตึงเครียดทางการทหารอย่างเป็นรูปธรรม นี่คือกลไกตรวจสอบจากบุคคลที่สามที่ไม่เคยมีมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งสองฝ่ายยังได้ยืนยันอีกครั้งว่าจะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่เดิม โดยเฉพาะบันทึกความเข้าใจฉบับปี 2543 (MoU43) เป็นกรอบในการแก้ไขปัญหา ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่าข้อตกลงสันติภาพทั้งหมดตั้งอยู่บนรากฐานของกรอบความร่วมมือเดิม
ทรัมป์: แรงขับเคลื่อนเบื้องหลังสันติภาพ
ปัจจัยที่ทำให้ข้อตกลงซึ่งเคยหยุดนิ่งสามารถบรรลุผลได้ในครั้งนี้ คือบทบาทของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ไม่ได้อาศัยกลไกการทูตแบบดั้งเดิม แต่เป็นการใช้ 'อำนาจดิบทางเศรษฐกิจ' (Economic Hard Power) อย่างโจ่งแจ้ง โดยผูกมัดการเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ทางเศรษฐกิจของทั้งสองชาติ เข้ากับเงื่อนไขสันติภาพอย่างแยกไม่ออก จากคำประกาศที่ว่า "จะไม่มีข้อตกลงการค้าด้านเจรจาภาษีสหรัฐฯหากความขัดแย้งยังไม่ยุติ" จึงเป็นเงื่อนไขที่หากปฏิเสธจะนำมาซึ่งหายนะทางเศรษฐกิจที่ทั้งสองประเทศไม่พร้อมจะรับมือ
แรงจูงใจเบื้องหลังของทรัมป์สามารถวิเคราะห์ได้ใน 2 มิติหลัก:
• วาระการเมืองภายในประเทศสหรัฐฯ: การสร้างสันติภาพครั้งนี้คือความสำเร็จทางการทูตที่ทรัมป์สามารถนำไปสร้างภาพลักษณ์ "Peacemaker in Chief" (ผู้บัญชาการสูงสุดแห่งการสร้างสันติภาพ) เพื่อหาเสียงกับชาวอเมริกันและเพิ่มโอกาสในการลุ้นรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ พร้อมตอกย้ำแนวคิดว่า เขาสามารถใช้อำนาจทางเศรษฐกิจสร้างสันติภาพได้ โดยไม่ต้องสิ้นเปลืองงบประมาณไปกับการทำสงครามนอกประเทศ
• วาระทางภูมิรัฐศาสตร์: ในระดับโลก ข้อตกลงนี้เป็นการ สกัดกั้นความพยายามของจีนในการสถาปนาตนเองเป็นผู้ไกล่เกลี่ยหลักในข้อพิพาทระดับภูมิภาค และเป็นการประกาศถึงการกลับมามีบทบาทของสหรัฐฯ ในอาเซียนอย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้น แรงขับเคลื่อนสำคัญเบื้องหลังคือยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ที่ต้องการ "แก้ปัญหาการผูกขาดแร่ธาตุจากจีน" การผลักดันให้เกิดข้อตกลงด้านแร่ธาตุสำคัญกับไทยจึงไม่ใช่ผลพลอยได้ แต่เป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักที่เชื่อมโยงสันติภาพเข้ากับสงครามซัพพลายเชนกับปักกิ่งโดยตรง
ทรัมป์จึงไม่ใช่แค่เป็นประธานในพิธี แต่ยังจัดฉากภูมิรัฐศาสตร์ใหม่ที่นำไปสู่ผลประโยชน์ที่เป็นรูปธรรม ซึ่งตามมาทันทีหลังการลงนาม
สันติภาพภายใต้การกำกับดูแลของมหาอำนาจ
แม้เนื้อหาของข้อตกลงสันติภาพไทย-กัมพูชาฉบับนี้จะ "ไม่มีอะไรใหม่" แต่บริบท กลไกการบังคับใช้ และผู้เล่นที่อยู่เบื้องหลังได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง สันติภาพที่เคยเปราะบางและขึ้นอยู่กับเจตจำนงของสองประเทศ ได้ถูกยกระดับขึ้นมาอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา
อนาคตของข้อตกลงยังคงขึ้นอยู่กับความจริงใจของกัมพูชา แต่ความแตกต่างที่สำคัญในครั้งนี้คือ หากมีการละเมิดข้อตกลงเกิดขึ้น จะไม่ใช่แค่การละเมิดต่อประเทศไทยเพียงฝ่ายเดียว แต่ยังถือเป็นการละเมิดต่ออาเซียน (ผ่านกลไก AOT) และที่สำคัญที่สุดคือเป็นการละเมิดต่อสหรัฐอเมริกา ผู้ซึ่งเป็นทั้งคนกลางและผู้ค้ำประกันข้อตกลงผ่านผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมหาศาล
ท้ายที่สุด สันติภาพที่ไม่ได้ถือกำเนิดจากความไว้วางใจของเพื่อนบ้าน แต่ถูกค้ำประกันด้วยผลประโยชน์ของมหาอำนาจ อาจเป็นเพียง 'สันติภาพในขวดใหม่' ที่แข็งแรงกว่าเดิม แต่ก็พร้อมจะหมดอายุขัยทันทีที่ผู้ค้ำประกันเปลี่ยนใจ


