posttoday

“ดร.ณัฏฐ์” ชำแหละบัตร 4 ใบ กา 5 ครั้ง สนามชิงอำนาจในคราบประชามติ

06 ตุลาคม 2568

“ดร.ณัฏฐ์ วงศ์เนียม” นักกฎหมายมหาชน ชำแหละระบบเลือกตั้งปี 2569 กับบัตร 4 ใบ 5 กา ชี้คำถามพ่วง “แก้รัฐธรรมนูญ–ยกเลิก MOU 43/44” คือเกมซ้อนซื้อใจประชาชนก่อนศึกใหญ่

KEY

POINTS

  • รัฐบาลเสนอระบบเลือกตั้งใหม่ที่ซับซ้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยให้ประชาชนกาบัตร 4 ใบ 5 ครั้ง ซึ่งรวมการเลือกตั้ง ส.ส. เข้ากับการทำประชามติ 2 เรื่องในคราวเดียว
  • ดร.ณัฏฐ์ วิเคราะห์ว่าบัตรประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญและ MOU ไทย-กัมพูชา เป็นเพียงเครื่องมือทางการเมืองที่แฝงมาในคราบประชาธิปไตย เพื่อให้ขั้วอำนาจต่างๆ ชิงความได้เปรียบ
  • ระบบใหม่นี้เสี่ยงสร้างความสับสนให้แก่ผู้ลงคะแนน และอาจเป็น "ประชามติลวงตา" ที่บิดเบือนเจตนารมณ์ประชาธิปไตยให้กลายเป็นเพียงเกมชิงอำนาจทางการเมือง

จุดกำเนิด “บัตร 4 ใบ” และคำถามพ่วงท้ายการเมืองใหม่

การเลือกตั้งปี 2569 ที่รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล เตรียมไว้ ถูกจับตาอย่างมากในเชิงกฎหมายและการเมือง เมื่อ “นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ” รองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย ประกาศแนวทางการเลือกตั้งระบบใหม่ โดยให้ประชาชนหย่อนบัตรถึง 4 ใบ พร้อมกันในคูหาเลือกตั้ง ไม่เพียงแต่เลือกผู้แทนราษฎรแบบเขตและบัญชีรายชื่อเท่านั้น แต่ยังรวมถึง “ประชามติว่าด้วยรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” และ “ประชามติยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) 43/44 ไทย–กัมพูชา” ซึ่งสะเทือนวงการการเมืองทันที

ดร.ณัฏฐ์ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชนชื่อดัง วิเคราะห์ว่า นี่คือ “ครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย” ที่ประชาชนจะต้องหย่อนบัตรพร้อมกันถึง 4 ใบ และในบางใบยังต้อง “กา 2 ครั้ง” เนื่องจากมีคำถามพ่วงท้ายในประเด็นรัฐธรรมนูญ จึงอาจนับได้ว่าประชาชนจะต้อง “ตัดสินใจ 5 ครั้งในคูหาเดียว” ถือเป็นการออกเสียงที่ซับซ้อนที่สุดเท่าที่เคยมีมาในระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทนของไทย

ในอดีต ประเทศไทยเคยผ่านระบบเลือกตั้งแบบผสม (สองใบ) ที่ประชาชนคุ้นเคยว่า “เลือกคนที่รัก เลือกพรรคที่ชอบ” มาตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 2540 ก่อนถูกปรับลดเหลือบัตรเดียวในปี 2562 เพื่อป้องกัน “คะแนนตกน้ำ” แล้วกลับมาใช้บัตรสองใบอีกครั้งในปี 2566 แต่การเพิ่มอีกสองใบในปี 2569 เพื่อถามประชามติ จึงไม่ใช่แค่ “การเลือกตั้ง” หากแต่เป็น “การลงประชามติควบคู่การเมือง” ที่มีนัยทางอำนาจรัฐธรรมนูญโดยตรง
 

“บัตรที่ 3–4” กับเกมชิงความได้เปรียบทางการเมืองสามขั้ว

ดร.ณัฏฐ์ แยกวิเคราะห์บัตรแต่ละใบ โดยเฉพาะ “บัตรที่ 3” ซึ่งว่าด้วยการออกเสียงประชามติให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ พร้อม “คำถามพ่วงท้าย” ลักษณะคล้ายประชามติรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่เปิดช่องให้ ส.ว. มีสิทธิเลือกนายกรัฐมนตรีได้หนึ่งครั้ง คำถามพ่วงท้ายในครั้งนั้นถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อขยายอำนาจของฝ่ายผู้ร่างรัฐธรรมนูญและคงโครงสร้างอำนาจรัฐไว้ในระบบใหม่ ฉะนั้น คำถามพ่วงในปี 2569 จึงถูกมองว่าเป็น “กลไกทางการเมืองซ้ำรอย” เพื่อชี้นำการแก้รัฐธรรมนูญตามวาระของพรรคที่อยู่ในอำนาจ

ส่วน “บัตรที่ 4” ที่ถามว่า “สมควรยกเลิก MOU 43/44 หรือไม่” นั้น ดร.ณัฏฐ์ ชี้ว่า เป็นประเด็นละเอียดอ่อนทางความมั่นคง เพราะ MOU 43 (ปี 2543) ว่าด้วยเขตแดนทางบก และ MOU 44 (ปี 2544) ว่าด้วยเขตทางทะเลและเขตเศรษฐกิจจำเพาะ ถูกลงนามในยุครัฐบาลชวน หลีกภัย และรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ตามลำดับ ซึ่งต่างเป็นสัญญาระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันในทางปฏิบัติ แม้จะไม่ผ่านการให้สัตยาบันจากรัฐสภาโดยตรง การจะ “ยกเลิก” หรือ “เพิกถอน” จึงต้องพิจารณาผลทางกฎหมายและการทูตอย่างรอบคอบ เพราะอาจกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและหลักอำนาจอธิปไตย

ในมิติการเมือง “บัตรใบที่ 3–4” ถูกตีความว่าเป็นเครื่องมือชิงความได้เปรียบทางยุทธศาสตร์ของ “สามขั้วการเมือง” — พรรคประชาชนซึ่งผลักดันการแก้รัฐธรรมนูญ ได้คะแนนนิยมจากผู้เรียกร้องปฏิรูปการเมือง พรรคเพื่อไทยได้ประโยชน์ทางอ้อมจากการเปิดพื้นที่ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ส่วนพรรคภูมิใจไทยที่ชูความมั่นคงและปกป้องดินแดน ก็ได้คะแนนจากประชาชนสายอนุรักษนิยม

ดร.ณัฏฐ์จึงสรุปว่า “บัตร 4 ใบ” ไม่ใช่แค่เครื่องมือประชาธิปไตย แต่คือ “สนามชิงอำนาจ” ในคราบของประชามติ

เมื่อ “ประชาธิปไตยทางตรง” กลายเป็น “กับดักความเข้าใจ”

ในมุมมองทางรัฐธรรมนูญ ดร.ณัฏฐ์อธิบายว่า การออกเสียงประชามติเป็นการใช้อำนาจอธิปไตยโดยตรงของประชาชน ซึ่งควรเกิดขึ้นในประเด็นสำคัญระดับชาติ เช่น การให้ความเห็นชอบรัฐธรรมนูญใหม่หรือการตัดสินใจในสัญญาระหว่างประเทศที่มีผลกระทบกว้างขวาง อย่างไรก็ดี การนำประชามติไปผูกกับการเลือกตั้งในวันเดียว อาจสร้าง “ความสับสนและความเหนื่อยล้าเชิงข้อมูล” ให้กับประชาชน เพราะต้องทำความเข้าใจบัตรถึง 4 ใบ รวมทั้งคำถามที่ซับซ้อนในบัตรใบที่ 3 และ 4 โดยเฉพาะผู้สูงอายุหรือผู้มีการศึกษาจำกัดในชนบท

ดร.ณัฏฐ์เตือนว่า แม้รัฐธรรมนูญ มาตรา 178 วรรคสี่ เปิดช่องให้มีการออกเสียงประชามติเกี่ยวกับสัญญาระหว่างประเทศได้ แต่ต้องอยู่บนหลักการ “ให้แสดงความคิดเห็นและประเมินผลกระทบ” ไม่ใช่ให้สิทธิประชาชน “ยกเลิกข้อตกลง” ที่มีผลผูกพันรัฐ เพราะกลไกตามรัฐธรรมนูญสามารถให้รัฐสภามีมติยกเลิกได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้ประชามติ การออกเสียงประชามติยกเลิก MOU 43/44 จึงอาจขัดกับเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญและกลายเป็น “ประชามติลวงตา” ที่สร้างความเข้าใจผิดว่าประชาชนมีอำนาจเหนือกว่ากระบวนการทางรัฐสภา

การเมืองไทยกำลังเดินเข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญอีกครั้ง เมื่อ “ประชาธิปไตยทางอ้อม” ผ่านการเลือกตั้ง และ “ประชาธิปไตยทางตรง” ผ่านประชามติ ถูกนำมาผสมเข้าด้วยกันในสนามเดียว ดร.ณัฏฐ์ชี้ว่า หากไม่มีการรณรงค์ให้ความรู้ล่วงหน้าอย่างเพียงพอ หรือหากแต่ละฝ่ายนำ “บัตร 4 ใบ” มาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง อาจทำให้เจตนารมณ์ประชาธิปไตยบิดเบี้ยว และนำไปสู่ “ความสับสนเชิงอำนาจอธิปไตย” ซึ่งประชาชนกลายเป็นเพียงผู้ถูกใช้ มากกว่าผู้ใช้อำนาจ

“บัตร 4 ใบ กา 5 ครั้ง” สะท้อนความพยายามผสมประชาธิปไตยทางตรงกับทางอ้อม แต่ในเชิงการเมืองกลับกลายเป็นเกมวัดพลังสามขั้ว ดร.ณัฏฐ์เตือน หากขาดความรู้เท่าทัน ประชาธิปไตยอาจกลายเป็นเพียง “ภาพลวงตาในคูหาเลือกตั้ง”
 

ข่าวล่าสุด

ดูบอลสด ถ่ายทอดสด ฟูแล่ม พบ คริสตัล พาเลซ พรีเมียร์ลีก วันนี้ 7 ธ.ค.68