posttoday

รัฐบาลนายกฯอนุทิน 4 เดือนวัดใจ สู้ศึกสภา–เกมเลือกตั้ง

13 กันยายน 2568

รัฐบาลอนุทินเสียงข้างน้อย เวลาจำกัดเพียง 4 เดือน ต้องเร่งพิสูจน์ผลงานทั้งแก้รัฐธรรมนูญ กระตุ้นเศรษฐกิจ และจัดการปมชายแดน ท่ามกลางแรงกดดันฝ่ายค้าน

KEY

POINTS

  • รัฐบาลเสียงข้างน้อยของนายอนุทินมีเวลาจำกัดเพียง 4 เดือนก่อนการเลือกตั้งใหม่ ทำให้ต้องเร่งสร้างผลงานที่เป็นรูปธรรมเพื่อสร้างคะแนนนิยม
  • เผชิญความท้าทายสำคัญในสภา ทั้งการผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลดอำนาจ ส.ว. และการรับมือศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจจากฝ่ายค้าน
  • ทุกพรรคการเมืองมุ่งเตรียมพร้อมสู่การเลือกตั้ง โดยรัฐบาลอนุทินเน้นใช้นโยบายที่เห็นผลเร็ว เช่น โครงการ "คนละครึ่ง" และการจัดการปัญหาชายแดนเพื่อสร้างความนิยม

วิเคราะห์การเมืองรัฐบาลอนุทิน : ความท้าทาย 4 เดือนและวาระสำคัญ

รัฐบาลเสียงข้างน้อยกับข้อจำกัดเชิงเวลา

รัฐบาลใหม่ที่นำโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล ก่อตั้งขึ้นภายใต้เงื่อนไขที่ซับซ้อนที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เพราะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่แท้จริง เสียง ส.ส. รวมไม่ถึงครึ่งหนึ่งของสภา แต่กลับต้องเผชิญความคาดหวังสูงจากทั้งสังคมและเครือข่ายการเมือง

แม้จะมี รัฐมนตรีคนนอก เสริมทีมเพื่อสร้างภาพลักษณ์ความเป็นมืออาชีพ แต่ปัญหาก็เริ่มจากความล่าช้าในการจัดตั้ง ครม. อันเนื่องมาจากกระบวนการตรวจสอบคุณสมบัติอย่างเข้มงวด ผู้ที่ถูกวางตัวหลายคนต้องใช้เวลานานกว่าจะผ่านด่านเอกสารกว่า 40–50 หน้าเพื่อยืนยันคุณสมบัติ การชะงักนี้ทำให้รัฐบาลเสียโอกาสในการสร้างแรงกระแทกเชิงบวกในช่วงเริ่มต้น

สิ่งที่ท้าทายยิ่งกว่าคือ กรอบเวลาเพียง 4 เดือน ก่อนการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ ซึ่งบีบให้รัฐบาลต้องคัดเลือกวาระที่ทำได้จริงและเป็นรูปธรรมทันที การจะบริหารจัดการให้เห็นผลในเวลาสั้น ๆ เช่นนี้ ย่อมไม่ง่าย รัฐบาลจึงถูกจับตามองว่าจะสามารถ "บริหารสถานการณ์" ให้ได้คะแนนนิยม หรือจะถูกฝ่ายตรงข้ามเล่นเกมรุกจนเสียสมดุลตั้งแต่ต้น
 

สมรภูมิรัฐธรรมนูญและเกมการเมือง

หัวใจของการเมืองในสภาช่วงนี้คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เดิมทีพรรคประชาชน (สีส้ม) เตรียมผลักดันการทำประชามติหลายครั้งเพื่อเปิดทางให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) จากการเลือกตั้งโดยตรง แต่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดเส้นทางนี้ทิ้ง โดยชี้ว่าประชาชนไม่อาจโหวตเลือกผู้ร่างโดยตรงได้ ส่งผลให้แผนทั้งหมดต้องปรับทิศทางทันที

เมื่อเกมกลับมาสู่ รัฐสภา พรรคภูมิใจไทยและเครือข่ายสีน้ำเงินจึงได้เปรียบ เพราะมีสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับสมาชิกวุฒิสภา การเดินเกมแก้ไขมาตรา 256 เพื่อลดบทบาท ส.ว. จะเป็นประเด็นแรกที่ถูกจับตา หากทำสำเร็จแม้เพียงบางส่วน ก็อาจสร้างเครดิตให้รัฐบาลอนุทิน แต่ถ้าไม่คืบหน้าเลย ก็จะสะท้อนว่ารัฐบาลชุดนี้ทำได้เพียง "ถ่วงเวลา"

อย่างไรก็ตาม เวลาที่เหลือเพียง 4 เดือนทำให้หลายพรรค โดยเฉพาะภูมิใจไทย ต้องจัดลำดับความสำคัญ เลือกมุ่งไปที่การเตรียมพร้อมเลือกตั้ง มากกว่าจะทุ่มพลังให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญยืดเยื้อ ฝ่ายค้านอย่างพรรคเพื่อไทยจึงใช้ช่องนี้เร่งรุก ยื่น อภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อขุดคุ้ยประเด็นร้อน เช่น คดีที่ดินเขากระโดง หรือการฮั้วเลือก ส.ว. พร้อมกดดันพรรคประชาชนที่เคยโหวตให้นายอนุทินขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีให้อยู่ในสถานการณ์ลำบาก

ไม่เพียงเท่านั้น พรรคเพื่อไทยยังอาจใช้ กรณีนายทักษิณ ชินวัตร ที่กำลังรับโทษในเรือนจำเป็นเครื่องมือเรียกคะแนนนิยม โดยสร้างกระแส "จดหมายจากคุก" หรือบทบาททางการเมืองในฐานะสัญลักษณ์ของความอยุติธรรม เพื่อดึงดูดฐานเสียงดั้งเดิมกลับคืนมา
 

เศรษฐกิจเร่งด่วนและโจทย์ชายแดน

ในด้านนโยบาย รัฐบาลอนุทินต้องการผลลัพธ์ที่จับต้องได้ภายในเวลาอันสั้น จึงหันไปใช้ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจทันใจ อย่างการนำโครงการ "คนละครึ่ง" มาปัดฝุ่นและปรับปรุงใหม่ เนื่องจากเป็นมาตรการที่พิสูจน์แล้วว่าช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายและสร้างความนิยมได้ทันที แม้จะไม่ตอบโจทย์โครงสร้างเศรษฐกิจระยะยาว แต่ก็เหมาะกับเกมการเมืองที่ต้องการผลเร็ว

อีกโจทย์ใหญ่คือ ประเด็นชายแดนไทย–กัมพูชา การประชุม GBC ล่าสุดสะท้อนสัญญาณผ่อนคลาย ทั้งในเรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิด การปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และการพิจารณาเปิดด่าน จุดนี้หลายฝ่ายเชื่อว่ามีแรงกดดันจากประเทศที่สามอย่างสหรัฐฯ อยู่เบื้องหลัง อย่างไรก็ตาม ประชาชนในพื้นที่ชายแดนยังคงหวั่นวิตก ต้องการให้ทุกปัญหาเคลียร์ชัดก่อนเปิดด่าน เพราะไม่อยากเผชิญปัญหาสังคมและเศรษฐกิจตามมา

นี่จึงเป็น บททดสอบสำคัญของภูมิใจไทย หากนายอนุทินสามารถสร้างสมดุลระหว่างการทูต ความมั่นคง และความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้ ก็จะช่วยเสริมความชอบธรรมทางการเมือง แต่หากผิดพลาด อาจสูญเสียคะแนนเสียงในกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่พรรคต้องการช่วงชิง

โดยภาพรวม การเมืองไทยในช่วง 4 เดือนนี้จะเต็มไปด้วยความผันผวน ไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูถาวร พรรคการเมืองทุกพรรคต่างเร่งสะสมแต้มก่อนศึกเลือกตั้งใหญ่ที่จะมาถึงในไม่ช้า รัฐบาลอนุทินแม้มีเวลาและกำลังจำกัด แต่ก็ยังพอมีพื้นที่พิสูจน์ตนเอง หากสามารถสร้างผลงานที่จับต้องได้และบริหารเกมการเมืองไม่ให้พังทลาย

บทสรุป 

รัฐบาลอนุทินยืนอยู่บนเส้นทางที่บอบบางอย่างยิ่ง เวลาเพียง 4 เดือนคือทั้งโอกาสและกับดัก ในขณะที่ฝ่ายค้านนำโดยเพื่อไทยพร้อมเดินเกมรุกเต็มรูปแบบ ส่วนพรรคประชาชนยังต้องเผชิญแรงกดดันในการเลือกข้าง สุดท้ายแล้วปัจจัยชี้ขาดจะอยู่ที่สามเสาหลัก: รัฐธรรมนูญ เศรษฐกิจ และชายแดน ว่าจะถูกขับเคลื่อนอย่างไร และพรรคใดจะคว้าโอกาสสร้างกระแสก่อนการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง

ข่าวล่าสุด

รมว.อรรถกร แจงดราม่าป้ายซีเกมส์ ย้ำไม่ใช่งบ กกท. พร้อมพิธีเปิด