โดนัลด์ ทรัมป์-อีลอน มัสก์ พันธมิตรแตกในภูมิทัศน์การเมืองสหรัฐ
การประกาศตั้ง “พรรคอเมริกา” ของ อีลอน มัสก์ จากความสัมพันธ์อันผันผวนและซับซ้อนกับโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งผลกระทบต่อพลวัตรการเมืองอเมริกันยุคใหม่อย่างรุนแรง
ความสัมพันธ์ระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ และ อีลอน มัสก์ สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติทางการเมืองในศตวรรษที่ 21 ซึ่งบุคคลภาคเอกชน โดยเฉพาะจากวงการเทคโนโลยี สามารถก้าวเข้ามามีบทบาทเชิงนโยบายระดับชาติได้อย่างมีนัยสำคัญ ความสัมพันธ์นี้เริ่มจากความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ สู่วิกฤตความขัดแย้งในที่สาธารณะ และจบลงด้วยการก่อตั้งขั้วอำนาจทางการเมืองใหม่ในนาม “พรรคอเมริกา” (America Party)
1. จุดเริ่มต้นของความร่วมมือ: การเข้าร่วมภาครัฐและอุดมการณ์สิ่งแวดล้อม
ในปี 2017 ภายหลังที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี มัสก์ได้รับการแต่งตั้งให้ร่วมคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านนโยบายเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามของรัฐบาลทรัมป์ในการดึงภาคธุรกิจเข้ามาร่วมกำหนดนโยบาย
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระยะเริ่มต้นต้องสะดุดเมื่อทรัมป์ตัดสินใจถอนสหรัฐฯ ออกจาก “ข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” มัสก์ซึ่งมีธุรกิจเกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด (เช่น Tesla, SolarCity) มองว่าการตัดสินใจดังกล่าวสวนทางกับหลักจริยธรรมและแนวทางที่เขายึดถือ จึงประกาศลาออกจากบทบาทในทันที โดยให้เหตุผลว่า “การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศคือเรื่องจริง และอเมริกาควรเป็นผู้นำ ไม่ใช่ผู้ล่าถอย”
2. การเผชิญหน้าครั้งแรก: ความขัดแย้งสู่สาธารณะ (2022)
ปี 2022 ถือเป็นจุดเปลี่ยน เมื่อความขัดแย้งระหว่างทั้งสองถูกเปิดเผยต่อสาธารณชนผ่านการโต้ตอบผ่านสื่ซเชียลด้วยถ้อยคำรุนแรง:
• ทรัมป์กล่าวหาว่ามัสก์เป็น “ศิลปินจอมปลอม (bullshit artist)”
• มัสก์ตอบโต้โดยแนะให้ทรัมป์ “แขวนหมวกแล้วล่องเรือสู่พระอาทิตย์ตก” พร้อมวิจารณ์ว่าเขา “แก่เกินไปสำหรับตำแหน่งผู้นำ”
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังอ้างว่าในอดีต มัสก์เคยขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลในการอนุมัติโครงการที่เกี่ยวข้องกับเงินอุดหนุน ซึ่งกลายเป็นประเด็นโจมตีความจริงใจของมัสก์ในการสนับสนุนพรรครีพับลิกัน
3. การเปลี่ยนแปลงเชิงอุดมการณ์และการร่วมมืออย่างเป็นทางการ (2022–2024)
การหันเหทางการเมืองของมัสก์
มัสก์เริ่มแสดงจุดยืนทางการเมืองอย่างชัดเจนใน พฤษภาคม 2022 โดยวิจารณ์พรรคเดโมแครตว่าเป็น “พรรคแห่งความแตกแยกและความเกลียดชัง” และหันมาให้การสนับสนุนพรรครีพับลิกัน แม้ก่อนหน้านี้เขาเคยลงคะแนนให้ฮิลลารี คลินตัน (2016) และโจ ไบเดน (2020)
การสนับสนุนผ่านเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มสื่อ
หลังจากเข้าซื้อ Twitter (เปลี่ยนชื่อเป็น X) มัสก์ได้ คืนบัญชีผู้ใช้ของทรัมป์ ที่ถูกระงับจากเหตุการณ์บุกอาคารรัฐสภาเมื่อ 6 มกราคม 2021 การกระทำนี้ไม่เพียงเป็นการแสดงออกทางการเมือง แต่ยังให้ทรัมป์กลับมาใช้ช่องทางสื่อสารหลักในการหาเสียง
บทบาททางการเงินและการบริจาคทางการเมือง
มัสก์ได้บริจาคเงินกว่า 277 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อสนับสนุนทรัมป์ และตั้ง “America Super PAC” เพื่อระดมทุนให้กับพันธมิตรพรรครีพับลิกัน ทำให้เขากลายเป็นบุคคลผู้บริจาครายใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2010 และ มัสก์ เป็นแขกในพิธีสาบานตนของทรัมป์ ที่ถูกจับตามองมากที่สุดว่าจะมีบทบาทใดในรัฐบาลชุดใหม่
ในเดือนมกราคม 2025 มัสก์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้นำ “Department of Government Efficiency (DOGE)” ซึ่งมีเป้าหมายลดขนาดรัฐ พัฒนาระบบไอที และยุบหน่วยงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ โดยเขามีอำนาจในการแต่งตั้ง CIO ของหลายหน่วยงาน และได้รับสิทธิพิเศษในทำเนียบขาวอย่างเด่นชัด จนถูกวิพากษ์วิจารณ์จากข้าราชการและหน่วยงานที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก
ความขัดแย้งเชิงนโยบาย: จุดแตกหักที่แท้จริง
ใน พฤษภาคม 2025 ทรัมป์เสนอร่างกฎหมายที่มีเป้าหมายขยายการลดหย่อนภาษี เพิ่มงบกลาโหม และงบประมาณสำหรับการเนรเทศแรงงานผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม รายงานจาก CBO และ AFP คาดการณ์ว่าแผนดังกล่าวจะเพิ่มหนี้สาธารณะกว่า 3.3–3.8 ล้านล้านดอลลาร์ ในระยะเวลา 10 ปี
มัสก์ไม่เห็นด้วยอย่างสิ้นเชิง และมองว่ากฎหมายฉบับนี้ “บ่อนทำลายภารกิจของ DOGE” เขาประกาศลาออก พร้อมระบุว่า “การลดหนี้ควรเป็นเป้าหมาย ไม่ใช่การสร้างหนี้เพิ่ม”
ทั้งสองฝ่ายเริ่มโจมตีกันผ่านโซเชียลมีเดีย:
• มัสก์ วิจารณ์ร่างกฎหมายว่า “น่ารังเกียจ” และขู่ว่าจะปลด SpaceX ออกจากภารกิจที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล
• ทรัมป์ ตอบโต้ว่า “มัสก์บ้า” และขู่ว่าจะ ตัดสัญญาของรัฐบาลที่มอบให้กับบริษัทในเครือของมัสก์ พร้อมพาดพิงเรื่องการเกิดในต่างประเทศ
4. การกำเนิดพรรคใหม่: America Party
มัสก์เริ่มทำโพลสำรวจบน X ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2025 (วันชาติสหรัฐฯ) ถามประชาชนว่าควรตั้งพรรคใหม่เพื่อโค่นล้ม “ระบบพรรคเดียวในคราบสองพรรค” หรือไม่ โดยผลโพลพบว่า 65.4% เห็นด้วย
ในวันถัดมา (5 กรกฎาคม) เขาประกาศจัดตั้ง “พรรคอเมริกา” อย่างเป็นทางการ โดยตั้งเป้าชิงเก้าอี้ในวุฒิสภา 2–3 ที่นั่ง และสภาผู้แทนราษฎรอีก 8–10 เขต เพื่อเป็น “เสียงชี้ขาดในการออกกฎหมาย”
ขณะที่ทรัมป์มองพรรคใหม่ว่า “ไร้สาระ” และ “หายนะ” พร้อมเน้นว่าสหรัฐฯ ควรยึดมั่นในระบบสองพรรคแบบดั้งเดิมเพื่อความมีเสถียรภาพ
5. ข้อจำกัดทางกฎหมายและบทบาทของมัสก์ในอนาคต
แม้มัสก์จะมีบทบาทโดดเด่น แต่เขาไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีได้เนื่องจากเกิดในแอฟริกาใต้ ซึ่งขัดต่อข้อกำหนดตามรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ที่ระบุว่าผู้สมัครต้องเป็น “พลเมืองโดยกำเนิด” อย่างไรก็ตาม เขาอาจยังคงมีบทบาทในฐานะ ผู้ออกแบบกลยุทธ์ ผู้สนับสนุนการเงิน และผู้นำความคิดของพรรค
บทสรุป: การหลอมรวมของทุน เทคโนโลยี และการเมือง
กรณีของมัสก์–ทรัมป์ ได้สะท้อนถึงแนวโน้มสำคัญที่อาจมีผลต่อประชาธิปไตยในอนาคต คือการที่มหาเศรษฐีจากภาคเทคโนโลยีสามารถ:
• มีอิทธิพลเชิงนโยบายในระดับชาติ
• กำหนดแนวทางของพรรคการเมือง
• สร้างความเปลี่ยนแปลงผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียโดยตรง
กรณีนี้จึงควรได้รับการจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของความสมดุลระหว่างอำนาจรัฐ กับอิทธิพลของทุนและเทคโนโลยี ที่อาจส่งผลต่อความมั่นคงของประชาธิปไตยในระยะยาว


