JBC ความหวังเลือนราง ในการแก้ไขความขัดแย้งชายแดน ไทย-กัมพูชา
การประชุม JBC ท่ามกลางความตึงเครียดชายแดนไทย–กัมพูชา: ความหวังที่เลือนรางในการคลี่คลายข้อพิพาท หลังผู้นำกัมพูชา เล่นบทแข็งกร้าว ยืนกรานนำประเด็นขึ้นศาลโลก
ความขัดแย้งชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาปะทุขึ้นอีกครั้งในช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2568 โดยมีจุดร้อนล่าสุดที่บริเวณ “ช่องบก” จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อกองทัพไทยรายงานว่ามีทหารกัมพูชาล้ำเข้ามาในเขตพิพาทกว่า 200 เมตร และเกิดการปะทะกันจนทหารกัมพูชาเสียชีวิตหนึ่งนาย สถานการณ์ดังกล่าวจุดกระแสความวิตกในระดับภูมิภาคและนำไปสู่การเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายใช้กลไกทางการทูตเพื่อคลี่คลายความตึงเครียด
แม้ว่าฝ่ายไทยและกัมพูชาจะได้ดำเนินการเจรจาเบื้องต้นและมีการปรับกำลังในพื้นที่ให้กลับสู่สภาพปกติตามแนวพื้นที่ปี 2567 แต่การออกแถลงการณ์ของกระทรวงกลาโหมกัมพูชาเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ที่ย้ำว่ากัมพูชาไม่มีการถอนทหารและยังคงยืนยันอธิปไตยเหนือพื้นที่พิพาท ก็สะท้อนถึงความไม่ลงรอยอย่างลึกซึ้งในระดับนโยบายและจุดยืน
ความหวังที่ฝากไว้กับ JBC
การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา (Joint Boundary Commission: JBC) ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 ได้รับการจับตาอย่างใกล้ชิดในฐานะเวทีสำคัญในการแสวงหาแนวทางการเจรจาเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ และอาจเป็นโอกาสสุดท้ายก่อนที่ข้อพิพาทจะถูกผลักเข้าสู่เวทีศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ)
รัฐบาลไทยได้แสดงเจตจำนงอย่างชัดเจนต่อการใช้กลไกทวิภาคี โดยยึดแนวทางสันติวิธีและการทูตเป็นหลัก อีกทั้งปฏิเสธอำนาจของ ICJ ในการพิจารณาประเด็นเขตแดน โดยมองว่าการเจรจาผ่าน JBC ยังคงเป็นเครื่องมือที่เหมาะสมที่สุดในการคลี่คลายข้อขัดแย้ง
ในทางกลับกัน กัมพูชากลับมีท่าทีแข็งกร้าวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการจัดตั้งคณะกรรมการกฎหมายเพื่อเตรียมยื่นคำร้องต่อ ICJ ในกรณีพื้นที่พิพาทจำนวนหนึ่ง พร้อมกับการดำเนินมาตรการเชิงสัญลักษณ์และตอบโต้ อาทิ การงดออกอากาศละครไทย การระงับการนำเข้าสินค้า และการเตรียมมาตรการทางทหาร
ประเด็นที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการเจรจา
1. ความแตกต่างเชิงหลักการ
การที่กัมพูชายืนยันจะนำข้อพิพาทเข้าสู่ ICJ ในขณะที่ไทยปฏิเสธเขตอำนาจศาลดังกล่าว สะท้อนถึงความแตกต่างเชิงหลักการที่ยากจะประนีประนอมในเวที JBC ซึ่งมุ่งเน้นการเจรจาโดยอาศัยกฎหมายทวิภาคีเป็นหลัก
2. การใช้มาตรการตอบโต้จากฝ่ายกัมพูชา
การตัดการเชื่อมต่อไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตจากฝั่งไทย รวมถึงการเตรียมใช้มาตรการทั้งด้านการค้า แรงงาน และการสื่อสารจากฝั่งกัมพูชา แสดงถึงการใช้กลยุทธ์ “สร้างต้นทุน” ให้กับฝ่ายไทย และอาจเพิ่มแรงกดดันในการเจรจาอย่างมีนัยสำคัญ
3. ปัจจัยภายนอกที่เข้ามาเกี่ยวข้อง
แม้ว่าฝรั่งเศสโดยประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง จะแสดงท่าทีพร้อมช่วยอำนวยความสะดวกในการจัดหาหลักฐานสำหรับการพิจารณาคดีในเวทีสากล แต่การแทรกแซงของฝ่ายที่สามในลักษณะนี้อาจทำให้กระบวนการเจรจาภายใต้ JBC ต้องเผชิญกับแรงเสียดทานเพิ่มขึ้น
โอกาสและทางเลือกที่เหลืออยู่
การประชุม JBC ครั้งนี้อาจไม่สามารถบรรลุผลเป็นรูปธรรมในเชิงการปักปันเขตแดนที่ยังคงมีข้อพิพาทได้ เนื่องจากกัมพูชาดูจะใช้เวทีนี้เพื่อนำเสนอจุดยืนของตนก่อนนำเรื่องเข้าสู่เวที ICJ อย่างเต็มรูปแบบ อย่างไรก็ตาม เวที JBC อาจยังมีบทบาทสำคัญในการลดความตึงเครียดเชิงปฏิบัติการ อาทิ การประสานเวลาการเปิด–ปิดจุดผ่านแดน การลาดตระเวนร่วม หรือการดูแลความปลอดภัยชายแดนในระดับชุมชน
บทสรุป: การเจรจาที่ยังต้องการเวลา ความเชื่อมั่น และความยืดหยุ่น
แม้จะมีความพยายามในการเจรจาผ่านกลไก JBC แต่สถานการณ์ที่ดำเนินอยู่ในขณะนี้สะท้อนถึงความเปราะบางของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ที่ยังคงถูกกำหนดโดยความหวาดระแวง การคำนึงถึงความมั่นคงภายใน และแรงกดดันทางการเมืองระดับชาติ
หาก JBC ไม่สามารถสร้างกลไกความร่วมมือที่มีประสิทธิภาพและได้รับความไว้วางใจจากทั้งสองฝ่ายได้ ก็มีแนวโน้มสูงที่ข้อพิพาทร้อนแรงขึ้น ขณะกระบวนการเจรจาทวิภาคีถูกแช่แข็ง ซึ่งอาจเปิดประตูสู่ความตึงเครียดในระยะยาว


