Agentic AI ตัวเร่งใช้ AI ที่คิด-ทำได้เอง เปลี่ยนโลกธุรกิจให้เร็วและแรงกว่าเดิม
หลังจาก ChatGPT จุดกระแส AI ทั่วโลก Agentic AI กำลังเป็นคลื่นลูกใหม่ที่ทรงพลังยิ่งกว่า! มันไม่ใช่แค่ช่วยคิดหรือเขียน แต่ “ลงมือทำ” แทนมนุษย์ได้แบบอัตโนมัติครบวงจร พร้อมเปลี่ยนโฉมการทำงานทั้งระบบให้เร็วขึ้น ถูกลง และฉลาดขึ้นในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน
KEY
POINTS
- หลังจาก ChatGPT จุดกระแส AI ทั่วโลก Agentic AI กำลังเป็นคลื่นลูกใหม่ที่ทรงพลังยิ่งกว่า!
- มันไม่ใช่แค่ช่วยคิดหรือเขียน แต่ “ลงมือทำ” แทนมนุษย์ได้แบบอัตโนมัติครบวงจร
- พร้อมเปลี่ยนโฉมการทำงานทั้งระบบให้เร็วขึ้น ถูกลง และฉลาดขึ้นในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน
การเปิดตัวของ ChatGPT ในปลายปี 2022 การใช้งาน Generative AI ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยในเวลาเพียง 2 เดือน ChatGPT มียอดผู้ใช้งานทะลุ 100 ล้านคน กลายเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับใช้งาน (Adoption) รวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ เทคโนโลยีนี้ได้จุดประกายให้เกิดคลื่น Adoption ของ AI บน S-Curve ลูกแรก โดยเฉพาะในภาคธุรกิจที่เริ่มนำ AI มาใช้ช่วยเขียน เนื้อหา ตอบแชตลูกค้า หรือสรุปข้อมูลจากเอกสาร
อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่ปี 2024 หลายองค์กรเริ่มพบ ข้อจำกัดของ Generative AI ในรูปแบบเดิม ซึ่งแม้ว่าจะมี ประสิทธิภาพสูง แต่ก็ยังต้องพึ่งพามนุษย์เพื่อสั่งการให้ AI ทำงานในแต่ละขั้นตอนอย่างชัดเจน ซึ่งกลายเป็นอุปสรรคต่อการใช้งานในระดับระบบองค์กร โดยเฉพาะเมื่อต้องการให้ AI ทำงานแบบอัตโนมัติและต่อเนื่อง ดังนั้นแม้ AI จะถูกพูดถึงมาก แต่การนำไปใช้งานในระดับที่เปลี่ยนแปลง ผลิตภาพ (Productivity) อย่างเป็นรูปธรรมยังเกิดขึ้นในวงจำกัด
Agentic AI จึงได้เข้ามาตอบโจทย์ข้อจำกัดดังกล่าว และถือเป็นการเปิดฉากของ S-Curve ลูกใหม่สำหรับ AI Adoption โดย Agentic AI ไม่ใช่เพียงแค่การตอบคำถาม หรือสร้างข้อความ แต่เป็น AI ที่สามารถทำงานได้อย่างอัตโนมัติ มีเป้าหมาย และสามารถจัดการกระบวนการหลายขั้นตอนได้โดยไม่ต้องให้มนุษย์ควบคุมทุกจุด เช่น สามารถวางแผน จองตั๋วเครื่องบิน ประสานการประชุม หรือเขียนโค้ดและปรับระบบโดยอัตโนมัติได้ในระดับที่ใกล้เคียงกับผู้ช่วยส่วนตัว
ปัจจุบันเริ่มมีการใช้งาน Agentic AI จริงแล้ว แม้จะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นก็ตาม เช่น Devin ซึ่งถูกพัฒนาให้เป็น AI Software Engineer คนแรกของโลก สามารถรับโจทย์ เขียนโค้ด แก้บั๊ก และ Deploy โปรแกรมได้ด้วยตัวเอง
หรืออย่าง Crew AI ซึ่งจำลองการทำงานของทีม AI โดยให้แต่ละ Agent รับบทบาทเฉพาะทาง เช่น นักวางแผน นักวิเคราะห์ หรือผู้เขียนรายงาน แล้วทำงานร่วมกันแบบ Collaborative เหมือนการทำงานในองค์กรจริง ตัวอย่าง เหล่านี้สะท้อนว่า Agentic AI ไม่ใช่อนาคตที่ห่างไกลอีกต่อไป แต่เริ่มกลายเป็นเครื่องมือที่องค์กรและบุคคลทั่วไปสามารถนำมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดภาระงานซ้ำซ้อนได้อย่างเป็นรูปธรรม
ปัจจุบันหลายบริษัท เริ่มนำ AI agents เข้ามาทำหน้าที่แทนเจ้าหน้าที่ ทั้งการตอบอีเมล รับสายลูกค้า นัดหมาย หรือแม้แต่การเชื่อมต่อกับระบบจัดการลูกค้าภายในองค์กรแบบอัตโนมัติ ซึ่งช่วยลดต้นทุนแรงงาน พร้อมเพิ่มความเร็วและคุณภาพในการให้บริการไปพร้อมกัน บริษัทที่มีการใช้งานจริง เช่น
Klarna : บริษัทฟินเทคจากสวีเดนที่ให้บริการ Buy Now, Pay Later (BNPL) เป็นหนึ่งในกรณีศึกษาที่โดดเด่นที่สุดของการใช้ Agentic AI ในระดับองค์กร โดยในปี 2024 บริษัทได้ร่วมมือกับ OpenAI เพื่อพัฒนา AI Agent ที่สามารถตอบและจัดการงานบริการลูกค้าได้ตั้งแต่ต้นจนจบ
ทั้งนี้ Agentic AI ตัวนี้ถูกฝังไว้ในระบบดูแลลูกค้าของ Klarna ทั้งทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน ทำหน้าที่ตั้งแต่รับคำถามลูกค้า วิเคราะห์บริบทของแต่ละเคส ดึงข้อมูลจากระบบหลังบ้าน เช่น รายการสั่งซื้อและสถานะการชำระเงิน ไปจนถึงดำเนินการแก้ไขหรือส่งคำตอบโดยไม่ต้องให้มนุษย์แทรกแซง
หลังจากเปิดใช้งานได้ 1 เดือน Klarna รายงานว่า AI Agent มียอดการสนทนากับลูกค้ากว่า 2.3 ล้านครั้ง หรือคิดเป็น 2 ใน 3 ของการสนทนาทั้งหมด เทียบเท่ากับปริมาณงานที่พนักงานบริการลูกค้าเต็มเวลาทำถึง 700 คน ขณะเดียวกันคะแนนความพึงพอใจของลูกค้านั้นยังอยู่ในระดับเดียวกับที่พนักงานทำ
นอกจากนั้นความแม่นยำในการแก้ปัญหาของ AI ยังช่วยลดจำนวนคำถามซ้ำได้ถึง 25% ส่งผลโดยตรงต่อความคล่องตัวในการให้บริการ ส่วนระยะเวลาเฉลี่ยที่ลูกค้าใช้ในการแก้ปัญหาแต่ละเคสก็ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เหลือเพียงไม่ถึง 2 นาที จากเดิมที่ใช้ เวลาประมาณ 11 นาทีต่อเคส ลดต้นทุนค่าพนักงานได้ 40 ล้านเหรยีญสหรัฐ ในปี 2024 นอกจากนี้ระบบยังพร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ใน 23 ประเทศ และสามารถสื่อสารได้มากกว่า 35 ภาษา
ใครได้ประโยชน์ก่อน-หลังใน AI Value Chain จากคลื่น Agentic AI
เมื่อ Agentic AI เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันและกระบวนการทำงานขององค์กรแอปพลิเคชันที่เคยเป็น เพียงเครื่องมือเสริมจะถูกยกระดับให้กลายเป็นผู้ช่วยที่สามารถลงมือทำงานแทนมนุษย์ได้จริงในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ข้อมูล การเขียนเนื้อหา
ไปจนถึงการวางแผนงานและตัดสินใจเบื้องต้น เราเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้บ้างแล้วผ่านแอปพลิเคชันชั้นนำหลายราย เช่น GitHub Copilot ที่สามารถเขียนโค้ดแทนวิศวกรซอฟต์แวร์ในขั้นเริ่มต้น Salesforce Einstein Copilot ที่ช่วยทีมขายเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าและแนะนำกลยุทธ์ที่เหมาะสม หรือ Notion AI ที่กลายเป็นผู้ช่วยด้านการจัดการข้อมูลและวางแผนโปรเจกต์แบบอัตโนมัติ
แอปพลิเคชันเหล่านี้ไม่เพียงแค่ยกระดับประสบการณ์การใช้งาน แต่ยังเปิดทางสู่การสร้างรายได้จริงจาก Agentic AI ในระดับองค์กร ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างรายได้ที่จับต้องได้ในห่วงโซ่มูลค่าของเทคโนโลยีใหม่ เมื่อพิจารณาจากโครงสร้างเวลา Application Layer ถือเป็นลำดับที่สามใน AI Value Chain ที่เริ่มเห็นประโยชน์ ชัดเจน โดยเฉพาะในฝั่งองค์กร (B2B) ที่พร้อมลงทุนและปรับใช้เทคโนโลยีที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความเร็วในการ ตัดสินใจในระดับปฏิบัติการ
โดยสรุป การเข้าสู่ยุค Agentic AI ไม่ได้เป็นเพียงพัฒนาการอีกขั้นของเทคโนโลยี AI แต่คือการเปิดฉากคลื่น S-Curve ลูกใหม่ที่จะเร่งให้ AI ถูกนำไปใช้ในระดับองค์กรอย่างแพร่หลาย โดยเปลี่ยนจากระบบที่ต้องพึ่งพาคำสั่งของ มนุษย์มาเป็นระบบที่สามารถคิดและทำได้เองอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มผลิตภาพ ลดภาระงาน และเปิดทางสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในภาคธุรกิจ ในมุมของการลงทุนสำหรับกองทุนรวมในประเทศที่เกี่ยวข้อง
ทีม Wealth Research ของหลักทรัพย์บัวหลวง แนะนำ MEGA 10 Artificial Intelligence ชนิดสะสมมูลค่า (MEGA10AI-A) และสำหรับการลงทุนใน DR ที่ซื้อขายในตลาดหุ้นไทย
เราแนะนำ MSFT01 อ้างอิงหุ้นสามัญ Microsoft ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ Windows และ Office รวมถึงบริการ Cloud ผ่าน Azure และเป็นผู้ลงทุนใน OpenAI เจ้าของ ChatGPTและ NVDA01 อ้างอิง ChinaAMC NASDAQ 100 ETF สัญลักษณ์ 3086.HK ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง โดยเราแนะนำให้เข้าซื้อในช่วงที่ตลาดปรับฐาน ประเมินว่าจะอยู่ในช่วงไตรมาส 3 นี้