posttoday

ภาษีโรงแรมมาแล้ว!! เตรียมความพร้อมก่อนกระทบ "ธุรกิจ"

21 พฤษภาคม 2568

ธุรกิจโรงแรมเผชิญความท้าทายใหม่จากกฎหมายภาษี หากไม่เตรียมพร้อมอาจกระทบต้นทุนและผลกำไรในระยะยาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ธุรกิจโรงแรมหากไม่วางแผนภาษีให้ดี อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่พักและการท่องเที่ยวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้ประกอบการโรงแรมและที่พักจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมเพื่อให้สามารถปรับตัวและบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการทำความเข้าใจข้อกำหนดทางกฎหมาย การวางแผนทางการเงิน หรือการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจให้เหมาะสมกับสถานการณ์

มาดูกันว่าภาษีโรงแรมมีอะไรบ้าง มีผลกระทบอย่างไร และควรรับมืออย่างไรเพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้อย่างราบรื่น

รายรับ-รายจ่าย ที่เกี่ยวข้องกับภาษีโรงแรม

โรงแรมเป็นสถานประกอบการเชิงพาณิชย์ที่นักธุรกิจจัดตั้งขึ้นเพื่อให้บริการที่พัก อาหาร และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ แก่นักเดินทาง ทั้งนี้เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้เข้าพัก รายได้จากค่าบริการและค่าใช้จ่าย
ต่างๆ ที่เกิดขึ้นจริงจากการดำเนินงานของโรงแรมต้องถูกนำมาใช้เป็นหลักฐานในการคำนวณภาษีโรงแรม ซึ่งรายรับและรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับภาษีโรงแรมสามารถอธิบายได้ดังนี้

รายรับที่เกี่ยวข้องกับภาษีโรงแรม

  1. ค่าห้องพัก  รายได้หลักของโรงแรมที่ต้องเสียภาษีโรงแรม
  2. ค่าบริการเสริม ค่าบริการที่เก็บจากลูกค้า
  3. ค่าอาหารและเครื่องดื่ม  รายได้จากร้านอาหารหรือบาร์ของโรงแรม
  4. ค่าบริการจัดงานหรือประชุม รายได้จากห้องจัดเลี้ยง งานสัมมนา หรืออีเวนต์
  5. ค่าซักรีดและบริการอื่นๆ  เช่น ค่าซักรีด เสื้อผ้า บริการสปา ฟิตเนส หรือรถรับส่ง

รายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับภาษีโรงแรม

  1. ค่าซื้อสินค้าและวัตถุดิบ  เช่น อาหาร เครื่องดื่ม และของใช้ในโรงแรม
  2. ค่าแรงพนักงาน  รวมถึงเงินเดือน โบนัส และสวัสดิการ  
  3. ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต  ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่อการดำเนินกิจการ
  4. ค่าซ่อมแซมและบำรุงรักษา  เช่น ค่าปรับปรุงห้องพัก หรือซ่อมอุปกรณ์
  5. ภาษีและค่าธรรมเนียมต่างๆ เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

ธุรกิจโรงแรมกับภาษีบุคคลธรรมดา

กิจการโรงแรมขนาดย่อมที่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยรายได้จากกิจการโรงแรม ภัตตาคาร และร้านอาหารจัดอยู่ในประเภทเงินได้มาตรา 40(8) ซึ่งสามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายได้ 2 วิธี ได้แก่ การหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาในอัตรา 60% หรือการหักค่าใช้จ่ายตามจริง

นอกจากนี้ผู้ประกอบการยังสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้หลายประเภท เช่น ค่าลดหย่อนส่วนตัวคู่สมรส และบุตร รวมถึงค่าลดหย่อนจากการอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา หรือผู้พิการและทุพพลภาพ ตลอดจนค่าเบี้ยประกันสุขภาพบิดามารดา ดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย และเงินสมทบกองทุนประกันสังคม

ผู้มีเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 8 ต้องยื่นภาษีโรงแรมปีละ 2 ครั้ง ตามกฎหมายกำหนด ได้แก่

  • ภาษีครึ่งปี (ภ.ง.ด.94) คำนวณจากรายได้ที่ได้รับระหว่างเดือนมกราคม - มิถุนายนของปีภาษีนั้น และต้องยื่นแบบภายในช่วงเดือนกรกฎาคม - กันยายนของปีเดียวกัน หรือหากยื่นผ่านอินเทอร์เน็ตสามารถดำเนินการได้จนถึงวันที่ 8 ตุลาคมของทุกปี
  • ภาษีสิ้นปี (ภ.ง.ด.90) คำนวณจากรายได้ทั้งปีตั้งแต่เดือนมกราคม - ธันวาคม และต้องยื่นภายในเดือนมกราคม - มีนาคมของปีถัดไป หรือหากยื่นผ่านอินเทอร์เน็ตสามารถดำเนินการได้ภายในวันที่ 8 เมษายนของปีถัดไป

ธุรกิจโรงแรมกับภาษีนิติบุคคล

กิจการโรงแรมที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยคำนวณจากกำไรสุทธิและเสียภาษีตามอัตราภาษีที่กำหนด และมีการยื่นภาษี 2 ครั้ง ได้แก่

  • ภาษีครึ่งปี (ภ.ง.ด.51) คำนวณจากผลประกอบการในช่วง 6 เดือนแรกของรอบบัญชี และต้องยื่นแบบ พร้อมชำระภาษีภายใน 2 เดือนหลังจากสิ้นสุดช่วงดังกล่าว
  • ภาษีสิ้นปี (ภ.ง.ด.50) คำนวณจากผลประกอบการตลอดทั้งปี และต้องยื่นแบบ พร้อมชำระภาษีภายใน 150 วันหลังจากสิ้นสุดรอบบัญชี

ธุรกิจโรงแรมกับภาษีหัก ณ ที่จ่าย

การหักภาษี ณ ที่จ่ายสำหรับธุรกิจโรงแรม เป็นข้อพิจารณาสำคัญเมื่อมีการรับหรือจ่ายเงินจากการดำเนินกิจการ โดยต้องตรวจสอบว่าเงินได้ที่เกิดขึ้นเข้าข่ายต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายหรือไม่ ซึ่งแบ่งตามประเภทเงินได้พึงประเมินดังนี้

  • กรณีธุรกิจโรงแรมจ่ายเงินให้กับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) ต้องดำเนินการคำนวณและหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามอัตราภาษีก้าวหน้า
  • กรณีธุรกิจโรงแรมจ่ายเงินให้กับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(2) ถึง 40(8) ผู้จ่ายเงินต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายตามอัตราที่กฎหมายกำหนดตั้งแต่ 1%-5% ขึ้นอยู่กับเงินที่จ่ายไปตามประเภทบริการนั้นๆ
  • กรณีธุรกิจโรงแรมโดนหักภาษี ณ ที่จ่าย จะถูกหัก 3% จากนิติบุคคลที่ใช้บริการและจ่ายเงินให้กับโรงแรม

ธุรกิจโรงแรมกับภาษีมูลค่าเพิ่ม

ธุรกิจโรงแรมทั้งในรูปแบบบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล จำเป็นต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หากมีรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่ายเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี โดยต้องยื่นจดทะเบียนภายใน 30 วัน นับจากวันที่รายได้เกินเกณฑ์ และเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 7% พร้อมยื่นแบบ ภ.พ.30 เป็นรายเดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ไม่ว่าจะมีรายรับในเดือนนั้นหรือไม่ก็ตาม

กล่าวโดยสรุป การเตรียมพร้อมเมื่อกิจการโรงแรมต้องเสียภาษี ควรเริ่มจากการทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาษีแต่ละประเภท และทำการตรวจสอบว่ากิจการเข้าข่ายเสียภาษีหรือไม่ ถ้ากิจการเข้าข่ายต้องเสียภาษีให้ตรวจสอบและจัดทำบัญชีให้ถูกต้อง แยกรายได้ที่ต้องเสียภาษีให้ชัดเจน รวมถึงยื่นแบบภาษีตามกำหนดเวลา ทั้งนี้ควรวางแผนการบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพเพื่อไม่ให้ภาระภาษีส่งผลกระทบต่อผลกำไรของกิจการอีกด้วย

อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่  Inflow Accounting

ข่าวล่าสุด

บอลวันนี้ ดูบอลสด ถ่ายทอดสด โปรแกรมฟุตบอล วันจันทร์ที่ 15 ธ.ค. 68