ภาษีโรงแรมมาแล้ว!! เตรียมความพร้อมก่อนกระทบ "ธุรกิจ"
ธุรกิจโรงแรมเผชิญความท้าทายใหม่จากกฎหมายภาษี หากไม่เตรียมพร้อมอาจกระทบต้นทุนและผลกำไรในระยะยาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ธุรกิจโรงแรมหากไม่วางแผนภาษีให้ดี อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่พักและการท่องเที่ยวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้ประกอบการโรงแรมและที่พักจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมเพื่อให้สามารถปรับตัวและบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการทำความเข้าใจข้อกำหนดทางกฎหมาย การวางแผนทางการเงิน หรือการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจให้เหมาะสมกับสถานการณ์
มาดูกันว่าภาษีโรงแรมมีอะไรบ้าง มีผลกระทบอย่างไร และควรรับมืออย่างไรเพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้อย่างราบรื่น
รายรับ-รายจ่าย ที่เกี่ยวข้องกับภาษีโรงแรม
โรงแรมเป็นสถานประกอบการเชิงพาณิชย์ที่นักธุรกิจจัดตั้งขึ้นเพื่อให้บริการที่พัก อาหาร และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ แก่นักเดินทาง ทั้งนี้เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้เข้าพัก รายได้จากค่าบริการและค่าใช้จ่าย
ต่างๆ ที่เกิดขึ้นจริงจากการดำเนินงานของโรงแรมต้องถูกนำมาใช้เป็นหลักฐานในการคำนวณภาษีโรงแรม ซึ่งรายรับและรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับภาษีโรงแรมสามารถอธิบายได้ดังนี้
รายรับที่เกี่ยวข้องกับภาษีโรงแรม
- ค่าห้องพัก รายได้หลักของโรงแรมที่ต้องเสียภาษีโรงแรม
- ค่าบริการเสริม ค่าบริการที่เก็บจากลูกค้า
- ค่าอาหารและเครื่องดื่ม รายได้จากร้านอาหารหรือบาร์ของโรงแรม
- ค่าบริการจัดงานหรือประชุม รายได้จากห้องจัดเลี้ยง งานสัมมนา หรืออีเวนต์
- ค่าซักรีดและบริการอื่นๆ เช่น ค่าซักรีด เสื้อผ้า บริการสปา ฟิตเนส หรือรถรับส่ง
รายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับภาษีโรงแรม
- ค่าซื้อสินค้าและวัตถุดิบ เช่น อาหาร เครื่องดื่ม และของใช้ในโรงแรม
- ค่าแรงพนักงาน รวมถึงเงินเดือน โบนัส และสวัสดิการ
- ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่อการดำเนินกิจการ
- ค่าซ่อมแซมและบำรุงรักษา เช่น ค่าปรับปรุงห้องพัก หรือซ่อมอุปกรณ์
- ภาษีและค่าธรรมเนียมต่างๆ เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
ธุรกิจโรงแรมกับภาษีบุคคลธรรมดา
กิจการโรงแรมขนาดย่อมที่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยรายได้จากกิจการโรงแรม ภัตตาคาร และร้านอาหารจัดอยู่ในประเภทเงินได้มาตรา 40(8) ซึ่งสามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายได้ 2 วิธี ได้แก่ การหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาในอัตรา 60% หรือการหักค่าใช้จ่ายตามจริง
นอกจากนี้ผู้ประกอบการยังสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้หลายประเภท เช่น ค่าลดหย่อนส่วนตัวคู่สมรส และบุตร รวมถึงค่าลดหย่อนจากการอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา หรือผู้พิการและทุพพลภาพ ตลอดจนค่าเบี้ยประกันสุขภาพบิดามารดา ดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย และเงินสมทบกองทุนประกันสังคม
ผู้มีเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 8 ต้องยื่นภาษีโรงแรมปีละ 2 ครั้ง ตามกฎหมายกำหนด ได้แก่
- ภาษีครึ่งปี (ภ.ง.ด.94) คำนวณจากรายได้ที่ได้รับระหว่างเดือนมกราคม - มิถุนายนของปีภาษีนั้น และต้องยื่นแบบภายในช่วงเดือนกรกฎาคม - กันยายนของปีเดียวกัน หรือหากยื่นผ่านอินเทอร์เน็ตสามารถดำเนินการได้จนถึงวันที่ 8 ตุลาคมของทุกปี
- ภาษีสิ้นปี (ภ.ง.ด.90) คำนวณจากรายได้ทั้งปีตั้งแต่เดือนมกราคม - ธันวาคม และต้องยื่นภายในเดือนมกราคม - มีนาคมของปีถัดไป หรือหากยื่นผ่านอินเทอร์เน็ตสามารถดำเนินการได้ภายในวันที่ 8 เมษายนของปีถัดไป
ธุรกิจโรงแรมกับภาษีนิติบุคคล
กิจการโรงแรมที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยคำนวณจากกำไรสุทธิและเสียภาษีตามอัตราภาษีที่กำหนด และมีการยื่นภาษี 2 ครั้ง ได้แก่
- ภาษีครึ่งปี (ภ.ง.ด.51) คำนวณจากผลประกอบการในช่วง 6 เดือนแรกของรอบบัญชี และต้องยื่นแบบ พร้อมชำระภาษีภายใน 2 เดือนหลังจากสิ้นสุดช่วงดังกล่าว
- ภาษีสิ้นปี (ภ.ง.ด.50) คำนวณจากผลประกอบการตลอดทั้งปี และต้องยื่นแบบ พร้อมชำระภาษีภายใน 150 วันหลังจากสิ้นสุดรอบบัญชี
ธุรกิจโรงแรมกับภาษีหัก ณ ที่จ่าย
การหักภาษี ณ ที่จ่ายสำหรับธุรกิจโรงแรม เป็นข้อพิจารณาสำคัญเมื่อมีการรับหรือจ่ายเงินจากการดำเนินกิจการ โดยต้องตรวจสอบว่าเงินได้ที่เกิดขึ้นเข้าข่ายต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายหรือไม่ ซึ่งแบ่งตามประเภทเงินได้พึงประเมินดังนี้
- กรณีธุรกิจโรงแรมจ่ายเงินให้กับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) ต้องดำเนินการคำนวณและหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามอัตราภาษีก้าวหน้า
- กรณีธุรกิจโรงแรมจ่ายเงินให้กับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(2) ถึง 40(8) ผู้จ่ายเงินต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายตามอัตราที่กฎหมายกำหนดตั้งแต่ 1%-5% ขึ้นอยู่กับเงินที่จ่ายไปตามประเภทบริการนั้นๆ
- กรณีธุรกิจโรงแรมโดนหักภาษี ณ ที่จ่าย จะถูกหัก 3% จากนิติบุคคลที่ใช้บริการและจ่ายเงินให้กับโรงแรม
ธุรกิจโรงแรมกับภาษีมูลค่าเพิ่ม
ธุรกิจโรงแรมทั้งในรูปแบบบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล จำเป็นต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หากมีรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่ายเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี โดยต้องยื่นจดทะเบียนภายใน 30 วัน นับจากวันที่รายได้เกินเกณฑ์ และเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 7% พร้อมยื่นแบบ ภ.พ.30 เป็นรายเดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ไม่ว่าจะมีรายรับในเดือนนั้นหรือไม่ก็ตาม
กล่าวโดยสรุป การเตรียมพร้อมเมื่อกิจการโรงแรมต้องเสียภาษี ควรเริ่มจากการทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาษีแต่ละประเภท และทำการตรวจสอบว่ากิจการเข้าข่ายเสียภาษีหรือไม่ ถ้ากิจการเข้าข่ายต้องเสียภาษีให้ตรวจสอบและจัดทำบัญชีให้ถูกต้อง แยกรายได้ที่ต้องเสียภาษีให้ชัดเจน รวมถึงยื่นแบบภาษีตามกำหนดเวลา ทั้งนี้ควรวางแผนการบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพเพื่อไม่ให้ภาระภาษีส่งผลกระทบต่อผลกำไรของกิจการอีกด้วย
อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ Inflow Accounting


