เมื่อสามเสากลายเป็นสามหอก ประชาธิปไตยไทยในสนามนิติสงคราม
เมื่อดุลอำนาจในระบบถ่วงดุลเริ่มสั่นคลอน คำถามใหญ่คือ ใครกำลังใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ และประชาชนจะเหลืออะไรเมื่อสามเสาหันหอกใส่กันเอง
“ประชาธิปไตยจะยืนอยู่ได้ เมื่อเสาทั้งสามตั้งมั่น ไม่หันหอกใส่กันเอง”
กลางเดือนพฤษภาคม 2568 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว จากข้อกล่าวหาแทรกแซง กกต.
คำสั่งนี้ดูเหมือนจะพุ่งไปที่ตัวบุคคล แต่แรงสั่นสะเทือนกลับกระเพื่อมไปทั่วพรรคร่วมรัฐบาล เสียงข้างมากขยับ ดุลอำนาจเปลี่ยน และที่สำคัญที่สุด...เสาตุลาการ ที่ควรยืนตรงกลาง กลับถูกตั้งคำถามหนักหน่วง
เสานั้นยัง “ยืนตรง” หรือกำลังถูกมือที่มองไม่เห็น โยกให้เอน?
ตุลาการ...กับเงาในมุมอำนาจ
การหยุดปฏิบัติหน้าที่ของ พ.ต.อ.ทวี ไม่ใช่แค่เรื่องคดีความ แต่มันกลายเป็น “หมากเปิดกระดาน” ที่คลี่สายอำนาจให้เห็นชัดขึ้น
ใครได้ประโยชน์? — คือคำถามที่สังคมเริ่มตั้ง และหลายคำตอบ กำลังพุ่งไปที่กลุ่มการเมืองสายสีน้ำเงิน ที่มีผู้ใหญ่มากบารมีซุ่มเงียบที่อยู่เหนือการเมืองแต่ไม่เหนืออำนาจ…หนุนหลังค้ำจุนอยู่
มังกรเขี้ยวแก้ว แหวกเวหาทราบมาว่า ผู้ใหญ่มากบารมีท่านนี้ พูดน้อยแต่เคลื่อนหนัก ไม่ได้ยืนบนเวที แต่ โยกพื้นเวที และดูเหมือนว่าครั้งนี้ ช่วยค้ำภูมิใจไทยให้ยืนอยู่ต่อ แม้จะต้องใช้เสาอำนาจตุลาการ เป็นด่านหน้าในการเล่นงานกลับต่อพรรคร่วมรัฐบาลข้างสีแดง
ในสมรภูมิการเมืองที่ไม่มีกองทัพ คนที่วางกระดาน...คือคนที่ไม่มีใครเลือก แต่มีสิทธิ์สั่ง
เสานิติบัญญัติ – เสาบริหาร | แตกเป็นเสี่ยง
ก่อนหน้าคำสั่งศาลไม่กี่วัน เวทีสภาเองก็ระอุ ญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจถูกหยิบขึ้นมา ข้อมูลลับจากหน่วยงานรัฐถูกเผยแพร่ในเชิงรบ แต่คราวนี้ไม่ใช่ศึก รบ – ต้านแบบเดิม เพราะศัตรูไม่ได้อยู่ฝั่งตรงข้าม...แต่ซ่อนตัวอยู่ในพรรคร่วมรัฐบาลเดียวกัน
ฝั่ง เพื่อไทย เดินหน้าผลักดัน “Entertainment Complex” ฝั่ง ภูมิใจไทย โต้กลับทั้งในและนอกสภา ข่าววงในกระซิบว่า เพื่อไทยล็อกเป้ายึดคืนกระทรวงมหาดไทย ขณะที่ ภูมิใจไทย ลือกันหนาหูว่าอาจ “คว่ำงบประมาณ 69” เพื่อแลกอำนาจ
นี่ไม่ใช่แค่ศึกการเมืองธรรมดาแต่มันคือ "เกมล้มกระดาน" ที่ฝ่ายหนึ่งพร้อมใช้เสียงในสภา และอีกฝ่าย...ใช้ตุลาการ
ในเวลาเดียวกัน วงจรอำนาจอีกวงก็กำลังถูกเขย่า กกต. และ DSI เปิดปฏิบัติการ “ล้างบาง” ขบวนการเลือก ส.ว. กว่า 150 รายชื่อถูกสอบ บางส่วนโยงกับสายเก่าพลังประชารัฐ ที่วันนี้ ย้ายขั้วมาเป็น “กลุ่มสนับสนุนภูมิใจไทย” โดยพฤตินัย
คดีนี้อาจดูเหมือนเรื่องเทคนิคเลือกตั้ง แต่จริง ๆ แล้ว มันคือการ หั่นเส้นเลือดฝอยของฝ่ายตรงข้าม และหากศาลยอมรับคำร้อง “ยุบพรรค” อาจกลายเป็นฉากจบทางการเมืองของทั้งฝั่งน้ำเงิน – แดง
ในน้ำมีปลา...ในวุฒิมีศึก และในองค์กรอิสระ...มีด่านโยนระเบิด
สามเสา...สามหอก
นิติบัญญัติ : กลายเป็นเวทีล้มล้างกันทางการเมือง
บริหาร : กลายเป็นสนามแย่งกระทรวง ไม่ใช่แก้ปัญหาประชาชน
ตุลาการ : ถูกมองว่า กำลังถูกใช้งาน แทนที่จะ “ยืนเป็นกลาง”
กฎหมายไม่ได้ผิด แต่คนใช้กฎหมายเพื่อ “ล็อกเกม” และกระบวนการตรวจสอบถูกออกแบบให้ “จัดการฝ่ายตรงข้าม”
หากเป็นเช่นนี้…มังกรเขี้ยวแก้วทำนายได้เลยว่า ประชาธิปไตยจึงไม่จำเป็นต้องพังด้วยปฏิวัติจากกำลังทหาร มัน “พังจากข้างใน” โดยกลุ่มคนที่ยังยืนอยู่ในระบบ แต่ไม่ได้ยืนอยู่ในหลัก
สามเสา...ที่ควรถ่วงดุลกัน กำลังกลายเป็น สามหอก ที่หันแทงกันเองและปลายหอกสุดท้าย...อาจจ่อเข้าที่ใจกลางของประชาชนชาวไทย


