สงครามการค้า Trump 2.0 ความท้าทายเชิงโครงสร้างในระบบการค้าไทย
ไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกอันดับที่ 27 ของโลก โดยในปี 2024 มีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 300,529.5 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 1.2% ของมูลค่าการส่งออกโลก และแม้ว่าในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ภายหลังวิกฤตโควิด-19 การส่งออกไทยจะขยายตัวได้ดี โดยมีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยอยู่ที่ราว 3.4% ต่อปี(CAGR ปี 2021-2024)
แต่ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว โดยเฉพาะในปี 2022-2024 ไทยกลับมีการขาดดุลทางการค้าอย่างต่อเนื่อง โดยมีมูลค่าขาดดุลทางการค้าสะสมในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาราว 23,320.4 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ นั่นเป็นเพราะไทยมีการนำเข้าสินค้าเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยราว 4.8% ต่อปี (CAGR ปี 2021-2024)
รายงาน Wealth Insight จากทีม Wealth Research ของหลักทรัพย์บัวหลวง ระบุว่า หากพิจารณาถึงรายละเอียดการนำเข้าสินค้าของไทยเป็นรายประเทศและรายสินค้า จะพบว่าแต่เดิม ก่อนปี 2014 ไทยมีการนำเข้าสินค้ามาจากญี่ปุ่นเป็นหลัก คิดเป็นสัดส่วนราว 18% ของมูลค่าการนำเข้าของไทยทั้งหมด
โดยสินค้านำเข้าจากญี่ปุ่นส่วนใหญ่มักเป็นสินค้าทุน (อาทิ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ) สินค้าวัตถุดิบแลกึ่งสำเร็จรูป (อาทิ เหล็ก เคมีภัณฑ์ แผงวงจรไฟฟ้า) รวมถึงชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งสอดคล้องกับการที่ไทยเป็นฐานการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมหลายรายการของญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เป็นต้น
สัดส่วนมูลค่าการนำเข้าของไทยรายประเทศ
อย่างไรก็ดี ตั้งแต่ช่วงปี 2014 ไทยมีการนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจนมีมูลค่าการนำเข้าแซงญี่ปุ่น หรืออาจกล่าวได้ว่าจีนกลายเป็นแหล่งสินค้านำเข้าอันดับ 1 ของไทยนับตั้งแต่ปี 2014 โดยปัจจุบันมีสัดส่วนมูลค่าการนำเข้าสูงถึง 27.7% ของมูลค่าการนำเข้าของไทยทั้งหมด (ข้อมูลเดือนม.ค.–ก.พ. 2025)
สอดคล้องกับหลายเหตุการณ์สำคัญ อาทิ การเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี การย้ายฐานการผลิตของจีนมายังกลุ่มประเทศอาเซียนหลังสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ครั้งที่ 1 (ช่วงปี 2018-2019) รวมไปถึงการผลิตสินค้าจีนที่เกิดภาวะล้นตลาด (Overcapacity) ไม่ว่าจะเป็นเหล็ก แผงโซลาร์เซลล์ สินค้าอุปโภคต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งการเกิดภาวะการผลิตสินค้าล้นตลาด
ภายใต้ความได้เปรียบด้านการประหยัดต่อขนาด (Economies of scale) ทำให้สินค้าจีนมีต้นทุนการผลิตที่ถูกลง
และส่งผลให้สินค้าจีนมีราคาถูกกว่าโดยเปรียบเทียบกับสินค้าจากประเทศอื่นๆ ประกอบกับผลของสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ครั้งที่ 1 ที่ทำให้สินค้าจากจีนเข้าไปทำการตลาดในสหรัฐฯได้ยากขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการจีนจำเป็นต้องย้ายฐานการผลิตสินค้าไปยังประเทศอื่นๆ เพื่อเลี่ยงผลกระทบของการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนในสหรัฐฯ
ขณะที่อุปสงค์ภายในประเทศจีนอาจยังฟื้นตัวไม่ดีมากนักภายหลังจากวิกฤตโควิด-19 ทำให้สินค้าราคาถูกจากจีนได้ไหลทะลักเข้าไปทำการตลาดในประเทศอื่นๆมากขึ้น รวมถึงไทย จึงเป็นเหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ไทยขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ สินค้าที่ไทยนำเข้าจากจีนมากที่สุดจะเป็นกลุ่มสินค้าทุน โดยคิดเป็นสัดส่วนราว 40.3% ของมูลค่าการนำเข้าสินค้าจากจีนทั้งหมด (อาทิ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ (16.0%) เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ (11.2%) เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (5.4%)) รองลงมาเป็นกลุ่มสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (35.3%) (อาทิ เคมีภัณฑ์ (6.7%) เหล็ก (4.9%)) และสินค้าอุปโภคบริโภค (17.3%) (อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน (6.9%))
ซึ่งการที่ไทยนำเข้าสินค้าทุนเป็นจำนวนมากจากจีนนั้น ส่วนหนึ่งก็สอดคล้องกับการที่จีนใช้ไทยเป็นฐานในการผลิตสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบของภาษีนำเข้าสินค้าจีนในสหรัฐฯ ตามที่กล่าวมาข้างต้น
การนำเข้าสินค้าทุน สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปเป็นจำนวนมากจากจีนไม่สอดคล้องกับภาคการผลิตไทย...
หากพิจารณาในเบื้องต้น ดูเหมือนว่าการนำเข้ากลุ่มสินค้าทุน สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปราคาถูกจากจีนจะสร้างมุมมองเชิงบวกให้แก่ภาคการผลิต ตลอดจนถึงภาคการส่งออกของไทย เพราะที่ผ่านมาโดยเฉพาะช่วงหลังวิกฤตโควิด-19 ภาคการส่งออกของไทยก็มีการขยายตัวได้ดี ตามที่กล่าวมาข้างต้น
แต่ในอีกมุมหนึ่ง หากเราพิจารณาถึงรายละเอียดข้อมูลในภาคการผลิตแล้ว จะสังเกตได้ว่าภาคการผลิตของไทยกลับอยู่ในภาวะหดตัว สะท้อนจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมถ่วงน้ำหนักมูลค่าเพิ่ม (Value added industrial production index) ในปี 2024 ที่หดตัวราว 1.3% YoY สวนทางกับภาคการส่งออกที่ขยายตัวได้โดดเด่น โดยขยายตัวได้ราว 5.4% YoY และทำสถิติการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ซึ่งเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย ได้ราว 54,956.2 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 18.3% ของมูลค่าการส่งออกไทยทั้งหมด นับว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หรืออาจกล่าวได้ว่าภาคการผลิตไทยส่งสัญญาณไม่สอดคล้องกับการขยายตัวของภาคการส่งออกชัดเจนขึ้นในปี 2024 จึงเป็นไปได้ว่าการนำเข้าสินค้าทุน
รวมถึงสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปจากจีนหลายรายการตามที่กล่าวมาข้างต้น อาจไม่ได้ถูกนำมาใช้ในกระบวนการผลิตในไทย แต่อาจถูกนำมาบรรจุใหม่ (Repackaging) หรือประกอบขึ้นเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีกระบวนการผลิตไม่ซับซ้อนมากนัก และทำการส่งออกซ้ำ (Re-export) เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าสินค้าจีนในสหรัฐฯ ซึ่งกระบวนการเช่นนี้ไม่เป็นผลดีต่อโครงสร้างการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม และการส่งออกไทยในระยะยาว เพราะไม่ได้เป็นการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ (Local content) ตามหลักการที่ควรจะเป็น เนื่องจากมีการนำเข้าเครื่องจักร ตลอดจนวัตถุดิบและสินค้ากึ่งสำเร็จรูปมาจากจีนเกือบทั้งหมด
นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบเชิงลบต่อผู้ประกอบการไทยด้วยเช่นกัน โดยเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้ประกอบการไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคาลดลง ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ ยกตัวอย่างเช่น การที่จีนย้ายฐานการผลิตแผงโซลาร์เซลล์มายังประเทศต่าง ๆ ในอาเซียน ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย รวมถึงไทย เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าแผงโซลาร์เซลล์จากจีนที่สูงในตลาดสหรัฐฯ จากการใช้มาตรการภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-dumping duties) และมาตรการภาษีตอบโต้การอุดหนุนจากภาครัฐ (Countervailing duties) ส่งผลให้กลุ่มประเทศอาเซียนดังกล่าวได้กลายเป็นผู้ส่งออกแผงโซลาร์เซลล์รายใหญ่ในตลาดสหรัฐฯ ในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา
สำหรับประเทศไทย ในปี 2024 ที่ผ่านมา มีมูลค่าการส่งออกแผงโซลาร์เซลล์ไปยังสหรัฐฯ ราว 2,400 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 4.5% ของมูลค่าการส่งออกไทยไปยังสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี เมื่อมีผู้ผลิตแผงโซลาร์เซลล์ในสหรัฐฯ ร้องเรียนถึงการทุ่มตลาดที่ไม่เป็นธรรมของแผงโซลาร์เซลล์จีนที่ถูกผลิตและส่งออกโดยกลุ่มประเทศอาเซียน
และเมื่อทางการสหรัฐฯ สามารถตรวจสอบและพิสูจน์ทราบได้ว่า แผงโซลาร์เซลล์จากกลุ่มประเทศอาเซียนเหล่านั้นมาจากผู้ผลิตจีน จึงนำมาซึ่งการใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดและภาษีตอบโต้การอุดหนุนจากภาครัฐเพิ่มเติมกับแผงโซลาร์เซลล์จากอาเซียนด้วย โดย ณ ปัจจุบัน ไทยโดนสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้าแผงโซลาร์เซลล์สูงถึง 375.19% (ประกาศ ณ วันที่ 21 เมษายน 2025) ซึ่งแน่นอนว่าผู้ผลิตไทยที่ทำการตลาดในสหรัฐฯ จะได้รับผลกระทบตามไปด้วย
กลุ่มสินค้าที่มีการนำเข้าจากจีนและส่งออกไปยังสหรัฐฯ สูง หวั่นซ้ำรอยโซลาร์เซลล์
หากพิจารณาถึงภาคการผลิตไทยเป็นรายสินค้า ภายใต้ข้อมูลดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมถ่วงน้ำหนักมูลค่าเพิ่ม จะพบว่าการดัชนีผลผลิตสินค้าอุตสาหกรรมไทยหลายรายการหดตัว ไม่ว่าจะเป็นสิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม เคมีภัณฑ์ เหล็ก โลหะ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ อุปกรณ์ไฟฟ้า และเฟอร์นิเจอร์
ขณะเดียวกัน หลายรายการดังกล่าวกลับมีมูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ที่ขยายตัวได้สูง โดยมีสัดส่วนการส่งออกเพิ่มสูงขึ้น ไม่สอดคล้องกับการผลิตที่หดตัว
แต่กลับสอดคล้องกับการขยายตัวของการนำเข้าสินค้าจากจีน ยกตัวอย่าง เช่น
• โทรศัพท์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ : ไทยมีการนำเข้าเครื่องรับส่งสัญญาณโทรศัพท์จากจีนอย่างต่อเนื่อง โดยสินค้าดังกล่าวมักถูกบันทึกไว้ในหมวดสินค้าทุนประเภทเครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าเป็นการนำเข้าเพื่อการผลิตภายในประเทศและส่งออก
อย่างไรก็ดี มีความเป็นไปได้สูงว่าสินค้าบางส่วนอาจถูกนำเข้าเพื่อการบรรจุหรือประกอบขั้นสุดท้ายเพียงเล็กน้อยก่อนจะถูกส่งออกซ้ำ ซึ่งสะท้อนจากสัดส่วนการส่งออกโทรศัพท์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบจากไทยไปสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จาก 1.7% ในปี 2018 เป็น 8.5% ในปี 2024 ของมูลค่าการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ทั้งหมด ขณะที่ดัชนีการผลิตในหมวดอุปกรณ์ไฟฟ้าของไทยยังคงหดตัวอย่างต่อเนื่อง
• หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ : ไทยนำเข้าเครื่องพักกระแสไฟฟ้า หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบจากจีนภายใต้การบันทึกเป็นกลุ่มสินค้าทุนประเภทเครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ (เช่นเดียวกับโทรศัพท์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ) แ
ละทำการส่งออกหม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบไปยังสหรัฐฯ เป็นอันดับ 4 จากสินค้าส่งออกไทยไปยังสหรัฐฯทั้งหมด คิดเป็นสัดส่วนราว 3.8% ของมูลค่าการส่งออกไทยไปยังสหรัฐฯ ในปี 2024 เพิ่มขึ้นจาก 1.5% ในปี 2018 อย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่การผลิตในกลุ่มอุปกรณ์ไฟฟ้าหดตัว
สงครามการค้ายุค Trump 2.0 จุดเปลี่ยนสำคัญต่อโครงสร้างการผลิตและการค้าไทย
สงครามการค้าในยุค Trump 2.0 ที่ประกาศนโยบายทางการค้าแบบแข็งกร้าวกับจีนมากขึ้น รวมถึงประเทศคู่ค้าอื่นๆทั่วโลก น่าจะเป็นปัจจัยเร่งให้เกิดการไหลทะลักของสินค้านำเข้าจากจีนไปยังประเทศอื่นๆเพิ่มมากขึ้น ทั้งเพื่อเป็นการระบายสินด้วยการหาตลาดใหม่ และการหลีกเลี่ยงผลกระทบของการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนในสหรัฐฯ
สำหรับประเทศไทยเรามองว่าไทยจะยังเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศเป้าหมายของจีนที่จะเข้ามาทำการตลาดสินค้าในไทยเพิ่มขึ้น อีกทั้ง ยังเป็นประเทศเป้าหมายในการนำเข้าสินค้าจีนเพื่อบรรจุใหม่หรือประกอบใหม่ และเพื่อส่งออกซ้ำไปยังประเทศปลายทางอย่างสหรัฐฯ หรืออาจกล่าวได้ว่าผลของสงครามการค้าระลอกใหม่ ในยุค Trump 2.0 จะทำให้มีการไหลทะลักของสินค้าราคาถูกจากจีนเข้ามายังไทยเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งไม่เป็นผลดีกับโครงสร้างการผลิตและการค้าไทยในระยะยาว
ดังเช่นในกรณีของการผลิตและส่งออกแผงโซลาร์เซลล์ของผู้ประกอบการจีนในไทย โดยไทยจะเป็นเพียงแหล่งพักสินค้าของจีนเพื่อรอส่งออกต่อ โดยไม่ได้ถูกใช้วัตถุดิบภายในประเทศ รวมถึงการจ้างงานในสายการผลิตมากนัก ทำให้แรงงานไทยไม่ถูกถ่ายทอดความรู้และทักษะการทำงานขั้นสูงใหม่ๆ และสุดท้ายแล้วอาจไม่เกิดการต่อยอดหรือขยายระบบนิเวศทางธุรกิจเพื่อสร้างห่วงโซ่คุณค่า (Value chain) ที่สมบูรณ์ไว้เพื่อรองรับกับการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีในระยะข้างหน้า
ขณะเดียวกัน การไหลทะลักเข้ามาของสินค้าราคาถูกจากจีนนั้น ยังเป็นการลดขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของผู้ประกอบการในไทยอีกด้วย นำมาซึ่งผลกระทบเชิงลบต่อโครงสร้างการผลิตอุตสาหกรรมในไทย
ดังนั้นนอกเหนือจากการเจรจาทางการค้ากับสหรัฐฯเพื่อลดภาษีนำเข้าสินค้าไทยและลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ การตรวจสอบสินค้านำเข้าอย่างเข้มงวด การพิจารณาถึงแผนการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ตลอดจนตั้งเงื่อนไขการใช้วัตถุดิบภายในประเทศและการจ้างงานคนไทย ย่อมเป็นจุดสำคัญต่อการวางรากฐานโครงสร้างการผลิตและการค้าไทยอย่างยั่งยืนในระยะยาวด้วยอีกทางหนึ่ง