posttoday

ธุรกิจสปา SME กับการบริหารภาษีอย่างไรให้มีคุณภาพ

18 กันยายน 2567

ธุรกิจสปา SME เป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตอย่างมาก ย่อมมีความเกี่ยวข้องกับระบบของภาษี และการบริหารภาษีอย่างไรให้มีคุณภาพ เพื่อลดความเสี่ยงในการตรวจสอบและค่าปรับต่างๆ

          ธุรกิจสปาเป็นธุรกิจที่เน้นให้บริการด้านสุขภาพและความงาม ซึ่งรวมถึงการนวด การบำบัดด้วยน้ำ การดูแลผิวพรรณ และบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งธุรกิจสปามีความหลากหลายและสามารถแบ่งเป็นประเภทตามการให้บริการ เช่น สปาสุขภาพ (Wellness Spa) เน้นการดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของลูกค้า มักมีบริการนวดบำบัด สปาความงาม (Beauty Spa) เน้นการดูแลความงามของลูกค้า เช่น การทำหน้า การดูแลผิวพรรณ การทำเล็บ และการทำผม  

          นอกจากนี้ธุรกิจสปา SME เป็นธุรกิจที่น่าสนใจและมีศักยภาพในการเติบโตอย่างมาก โดยเฉพาะในยุคที่ผู้คนให้ความสำคัญกับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีมากขึ้น ซึ่งการเปิดธุรกิจสปาขนาดเล็กถึงกลางมีข้อดีหลายประการ เพราะเป็นการลงทุนเริ่มต้นที่ต่ำกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ มีความยืดหยุ่นในการปรับตัวตามสภาพเศรษฐกิจ และการเข้าถึงลูกค้าในท้องถิ่นได้ง่าย

          ดังนั้นการทำธุรกิจไม่ว่าจะขนาดกลางหรือเล็ก ธุรกิจประเภทใดๆ ย่อมมีความเกี่ยวข้องกับระบบของภาษี แล้วภาษีที่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจสปา SME มีอะไรบ้าง ลองมาพิจารณาได้ดังนี้

รู้หรือไม่ธุรกิจสปา SME ได้รับการยกเว้นภาษีสรรพสามิต

          1. ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีในธุรกิจสปา SME ที่กรมสรรพสามิตให้แก่ สถานบริการประเภทอาบน้ำ หรืออบตัว และนวด ในสถานบริการเสริมความงาม หรือสุขภาพ ลงวันที่ 19 ตุลาคม 2552 โดยเอกสารที่ใช้ประกอบการขอยกเว้นภาษีสรรพสามิตสปา ได้แก่ ใบรับรองมาตรฐานตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยการกำหนดสถานที่เพื่อสุขภาพหรือเพื่อเสริมสวยมาตรฐานของสถานที่ การบริการ ผู้ให้บริการ

          2. ธุรกิจสปา SME ที่มีรายได้จากการให้บริการ อาบน้ำ อบตัว และนวดในสถานศึกษา ในวัด หรือสถานที่ปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนา

          3. ธุรกิจสปา SME ที่มีรายได้จากการให้บริการ อาบน้ำ อบตัว และนวดในโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล (ข้อมูลจาก กรมสรรพสามิต)

ภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสปา SME

          เจ้าของธุรกิจสปาจำเป็นต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับภาษีที่เกี่ยวข้อง เพื่อวางแผนการเงินและปฏิบัติตามกฎหมายได้ถูกต้อง สำหรับภาษีธุรกิจสปา SME ในประเทศไทยมีหลายประเภทที่ควรพิจารณาดังนี้

          1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเจ้าของธุรกิจที่เป็นบุคคลธรรมดา รายได้จากธุรกิจสปาจะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มาตรา 40(8) ตามอัตราภาษีที่กำหนดไว้ในกฎหมาย

          2. ภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับธุรกิจที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล เช่น บริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชนจำกัด รายได้จากธุรกิจสปาจะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทยปัจจุบันสูงสุดอยู่ที่ 20% ของกำไรสุทธิ

          3. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ธุรกิจสปาที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี จะต้องจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่ม และต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 7% จากลูกค้า

          4. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย สำหรับธุรกิจสปา SME ที่จดบริษัทเป็นนิติบุคคล มีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายเมื่อมีการใช้บริการโดยอัตราการหักภาษี จะขึ้นอยู่กับประเภทของรายจ่ายที่จ่ายไป และจะถูกหักภาษีเมื่อได้รับรายได้จากการดำเนินธุรกิจสปา โดยกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับภาษีหัก ณ ที่จ่าย โดยปกติจะมีหลักเกณฑ์ดังนี้

          - ค่าเช่าพื้นที่ ในกรณีที่ธุรกิจสปามีการเช่าพื้นที่ในการดำเนินกิจการ จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 5% ของค่าเช่า

          - ค่าโฆษณาและการตลาด ค่าใช้จ่ายในการโฆษณาหรือการตลาดผ่านสื่อ ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 2% ของค่าโฆษณา หรือตามอัตราที่กฎหมายกำหนด

          - ค่าจ้างแรงงาน หากมีการจ้างแรงงาน เช่น พนักงานสปา หรือพนักงานทำความสะอาด จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายจากค่าจ้างแรงงานตามอัตราที่กำหนด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรายได้ของพนักงานแต่ละคน

          - ค่าบริการ รายได้จากการให้บริการสปา เช่น นวด สปาหน้า สปาเล็บ สปาผม ฯลฯ จะถูกผู้ใช้บริการในนามนิติบุคคล หักภาษี ณ ที่จ่าย 3% หรือตามอัตราที่กำหนดในประมวลรัษฎากร

          5. ภาษีโรงเรือนและที่ดินสำหรับธุรกิจสปา เป็นภาษีที่จัดเก็บจากอาคารที่ใช้ในเชิงพาณิชย์ รวมถึงอาคารที่ใช้ในการประกอบกิจการสปา ซึ่งภาษีนี้เรียกเก็บโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น เทศบาลหรือองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)

ขั้นตอนการเสียภาษีธุรกิจสปา SME

  1. จดทะเบียนพาณิชย์ที่สำนักงานเขตหรือเทศบาล หากเป็นนิติบุคคล (บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนจำกัด) ต้องจดทะเบียนนิติบุคคลที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
  2. การขออนุญาตประกอบกิจการสปาจากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข
  3. ธุรกิจสปาที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) ทุกเดือน
  4. ธุรกิจสปาที่จดทะเบียนบริษัทเป็นนิติบุคคล ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (ภ.ง.ด.3 หรือ ภ.ง.ด.53) ทุกเดือน
  5. ธุรกิจสปาที่จดทะเบียนบริษัทเป็นนิติบุคคล ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลกลางปี (ภ.ง.ด.51) และสิ้นปี (ภ.ง.ด.50)
  6. ธุรกิจสปาที่ทำในนามบุคคลธรรมดา ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดากลางปี (ภ.ง.ด.94) และสิ้นปี (ภ.ง.ด.90)

          กล่าวโดยสรุปธุรกิจสปา SME จำเป็นต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับระบบภาษี รวมถึงการวางแผนภาษีอย่างรอบคอบ และการปฏิบัติตามกฎหมายภาษีอากรอย่างถูกต้อง จะช่วยลดความเสี่ยงในการตรวจสอบและค่าปรับต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้

อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่  Inflow Accounting

ข่าวล่าสุด

LIVE ถ่ายทอดสด ลิเวอร์พูล พบ ไบรท์ตัน พรีเมียร์ลีก วันนี้ 13 ธ.ค.68