posttoday

เป้าลมในการผลักดันจีดีพีให้โต 3 % ในปี2567

11 มิถุนายน 2567

"เปิดภาพของเป้าลม รัฐบาลนี้ยิ่งเดินยิ่งเป๋ มองและแยกแยะสิ่งดีและชั่วไม่ออก ทุกวันนี้หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ตกต่ำ นักธุรกิจ ผู้รู้ และผู้ที่ไม่ฝักใฝ่การเมืองทั้งหลายพูดเหมือนกันว่าเป็นเพราะรัฐบาล ไปก้าวก่ายกับธนาคารแห่งประเทศไทย"

KEY

POINTS

 

  • เป้าแรก คือ การผลักดันการท่องเที่ยว ที่ตั้งเป้าไว้ 35.7 ล้านคน 
  • เป้าที่สอง คือ การเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐปี 2567 ที่มียอดทั้งหมด 8.5 แสนล้านบาท
  • เป้าที่สาม คือ การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน ผ่านสำนักงานบีโอไอ 800,000 ล้านบาท
     

การประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจครั้งที่ 2 เมื่อวันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน ที่ได้มีการแถลงข่าวโดยท่านรองนายกรัฐมนตรีพิชัย ชุณหวชิร ให้ผู้สื่อข่าวและประชาชนได้ฟังกันทั่วไปแล้วนั้น ผมอ่านดูแล้ว อดที่จะเป็นห่วงว่ามาตรการที่รัฐบาลคิดจะทำเพื่อให้บรรลุเป้าที่จะให้เศรษฐกิจไทยในปี 2567 นี้ให้ได้ถึง 3% นั้น จะเป็นเป้าลมเสียมากกว่า แทนที่จะโตได้ถึงเป้าอีก 6 เดือนที่เหลือของปี อาจโดนลมพัดกรรโชกไม่กี่ครั้ง 3 % ก็ไม่ได้แต่อาจลดลงมาเหลือ 2 %   เป็นไปได้มากทีเดียว

ที่ผมกล่าวเช่นนี้ ไม่ใช่จะไปดูถูกดูแคลน ครม. เศรษฐกิจชุดนี้ โดยเฉพาะท่านพิชัย รัฐมนตรีคลังและรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ผมรู้ฝีมือของท่านดี ว่าเป็นผู้ที่จัดจ้านในเรื่องการเงินและการบริหารธุรกิจที่เก่งหาตัวจับยากคนหนึ่ง แต่ตัวท่านนั้นแม้จะผ่านงานเอกชนและผ่านงานองค์กรใหญ่อย่าง ปตท. แต่ไม่เคยรับราชการ ซึ่งระบบราชการนี่แหละคือตัวปัจจัยลบที่สำคัญในการบริหารราชการแผ่นดิน บวกกับธรรมเนียมการคอร์รัปชั่นที่มีอยู่ทั่วทุก
หัวระแหงของราชการ รวมทั้งการสั่งการหรือวิ่งเต้นโดยทางการเมืองเพื่อจะเอาโครงการไปให้พรรคพวกในวงการเมืองได้โครงการไปทำ เป็นต้น

ปัจจุบันสิ่งเลวร้ายเหล่านี้ยิ่งมีมากกว่าเดิม สิ่งเหล่านี้จะเข้าไปนัวเนียเป็นกระแสลมเข้าไปกระทบเป้าทุกวี่ทุกวัน ในที่สุดเป้าลมก็ค่อยๆยุบ มันจะพองเต่งตึงและขยายเป็นถึง 3% ไม่ได้หรอกครับ ผมจะขอให้ความเห็นว่าจะไปไม่ถึงเป้าได้อย่างไร ทั้งนี้ขอให้ ครม. เศรษฐกิจอย่าคิดอย่างโน้นอย่างนี้นะครับผมขอติเพื่อไม่ให้เป้าลมมันแฟบเกินไปมากกว่า

เป้าแรก คือ การผลักดันการท่องเที่ยว ที่ตั้งเป้าไว้ 35.7 ล้านคน จะให้เพิ่มขึ้นไปอีก 1 ล้านคน เป็น 36.7ล้านคน และจะให้นักท่องเที่ยวอยู่นานขึ้น เรื่องนี้ควรจะเป็นไปได้ หรือจะให้เพิ่มขึ้นอีก 2 - 3 ล้านคน ก็อาจเป็นไปได้ แต่อย่าลืมว่า ขณะนี้สถานะทางภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลกไม่ดี ถ้ามีเรื่องรุนแรงมากขึ้น หรือเกิดโรคระบาดที่รุนแรงสักอย่างที่ไหนสักแห่ง เป้าที่ว่าไว้ที่ 35. 7 ล้านคน ก็จะไปไม่ถึงแน่ เรื่องนี้บอกได้ว่าความเสี่ยงยังมีมากอยู่ดี

 

เป้าที่สอง คือ การเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐปี 2567 ที่มียอดทั้งหมด 8.5 แสนล้านบาท โดยรัฐจะพยายามขับเคลื่อนให้มีการเบิกจ่ายให้ได้ถึง 70% ภายในปีนี้ (เข้าใจว่าภายในธันวาคม 2567) เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยรวมทั้งกรมบัญชีกลางซึ่งเป็นคนคุมการจ่ายเงินเขาเร่งกันตลอดทุกรัฐบาล แต่ก็ทำยาก ที่ยากคนที่เป็นรัฐมนตรีทั้งว่าการและรัฐมนตรีช่วยต่างก็ทราบกันดี เหมือนสวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจ เพราะรัฐมนตรีมัวเจรจากับคนของผู้รับเหมาไม่เสร็จ หรือคนของรัฐมนตรีกำลังแย่งกันขอโครงการจากหน่วยงานเจ้าของโครงการอยู่บางโครงการน่าหม่ำท่าทางอิ่มหมีพีมันดี รัฐมนตรีหรือนักการเมืองที่เข้ามารุมล้อมขอทำกันตรงๆก็มีมากอยู่เรื่องเช่นนี้ต่างหากที่ทำให้โครงการล่าช้า บางโครงการเช่น โครงการรถไฟฟ้าส่วนสร้างอุโมงค์ลอดแม่น้ำเจ้าพระยาก็เริ่มโครงการกันไม่ได้สักที ช้ามาร่วม 2-3 ปีเห็นจะได้

เป้าที่สาม คือ การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน ที่บอกว่าขณะนี้ภาคเอกชนขอการส่งเสริมการลงทุนจากรัฐบาลผ่านสำนักงานปีโอไอ มีเม็ดเงินเตรียมลงทุนอยู่ถึง 800,000 ล้านบาท ถ้าสามารถดึงเงินลงทุนมาปีนี้สัก 3 แสนล้านบาท ก็จะช่วยเพิ่มจีดีพืได้ ผมว่าเรื่องนี้ ครม. เศรษฐกิจคงฝันไปกระมัง เพราะจริงๆที่เริ่มเห็นกันตอนนี้ในประเทศไทย คือ การจ้างงานคนไทยให้รื้อโรงงานอุตสาหกรรมที่ถอนตัวไปหรือย้ายถิ่นฐานไปจากเมืองไทยมากกว่า

ท่านผู้อ่านพอจะเห็นภาพของเป้าลมแล้วหรือยังครับ ผมบอกตรงๆตามที่ได้ฟังมาและที่เป็นความเห็นของผมเองว่ารัฐบาลนี้ยิ่งเดินยิ่งเป๋ มองและแยกแยะสิ่งดีและชั่วไม่ออก ฟังบางท่านในคณะรัฐมนตรีพูดว่าการที่ทุกวันนี้หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ตกต่ำมากกว่าประเทศอื่นไม่ใช่เพราะรัฐบาล ผมไม่ได้โทษใครนะครับ แต่เสียงจากนักธุรกิจ ผู้รู้ และผู้ที่ไม่ฝักใฝ่การเมืองทั้งหลายพูดเหมือนกันว่าเป็นเพราะรัฐบาลเป็นสำคัญ เพราะรัฐบาลนี้ไปก้าวก่ายกับธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่บริหารงานด้านเศรษฐกิจและการเงินตามหลักธรรมาภิบาลอย่างมั่นคง ในขณะที่ทางฟากรัฐบาลไม่เคยมีใครพูดถึงและกระทำในเรื่องธรรมาภิบาลให้ประชาชนและโลกเขาเห็นบ้างเลย แล้วมันจะเอาดีตรงไหนมาลงทุนครับ