"ประเทศไทย ก้าวต่อไป กับ อุตสาหกรรม 5.0"
นักเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ แนะ 5 แนวทาง นำไทยก้าวสู่ “อุตสาหกรรม 5.0” เดินหน้าปรับโครงสร้าง เศรษฐกิจไทยสู่ “ระบบเศรษฐกิจใหม่” มุ่งใช้เทคโนโลยีทันสมัยทำงานร่วมกับแรงงานคน-เป็นมิตรสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับการผลิต และบริการ เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันบนเวทีโลกอย่างยั่งยืน
ในปัจจุบันประเทศไทยได้ให้ความสำคัญกับการปรับตัวเข้าสู่ยุคแห่งอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในกระบวนการดำเนินงาน การผลิต และการให้บริการ ซึ่งเห็นได้ชัดจากนโยบายสนับสนุนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Thailand 4.0 แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทั้งฉบับที่ 12 และ ฉบับที่ 13 รวมไปถึงแนวคิดทางด้านการพัฒนา 12 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย หรือที่เรารู้จักกันดีว่า “S-Curve Industries” อาทิเช่น อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดี และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ และอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร เป็นต้น อุตสาหกรรมเหล่านี้ล้วนแต่เป็นภาคธุรกิจที่มีศักยภาพสูงและสามารถเพิ่มรายได้และผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศได้เป็นอย่างมากในอนาคต
แน่นอนว่าไม่ใช่แค่เพียงประเทศไทยประเทศเดียวที่ให้ความสำคัญกับการปรับตัวของภาคอุตสาหกรรมและการนำเทคโนโลยีขั้นสูงที่เกี่ยวข้องมาใช้ ทั่วโลกโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศยุโรปรวมไปถึงประเทศจีนก็ได้ทำการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งล่าสุดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยในการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งดังกล่าวจะถูกเรียกว่า “Industry 5.0” หรือ อุตสาหกรรม 5.0 นั่นเอง ทั้งนี้ แนวคิดดังกล่าวได้ถูกพัฒนาจากรากฐานของ Industry 4.0 หรือ อุตสาหกรรม 4.0 ซึ่งเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมโดยเน้นการนำเทคโนโลยีขั้นสูง อาทิเช่น Internet of Things (IoTs), Artificial Intelligence (AI) และ Cyber-Physical System (CPS) เข้ามาใช้ในกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการทำงานทั้งหมด โดยเน้นไปที่การลดต้นทุนของการผลิตให้ได้มากที่สุดและการผลิตที่ทำให้เกิดผลกำไรสูงสุด
ซึ่งบางครั้งแนวคิดดังกล่าวอาจจะลืมคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดจากกระบวนการที่เกี่ยวข้องที่มีต่อชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อม ดังนั้นในประเทศกลุ่มยุโรป โดยเฉพาะเยอรมันซึ่งเป็นผู้นำทางด้านอุตสาหกรรมการผลิตของโลกอยู่แล้วจึงได้ริเริ่มแนวคิดอุตสาหกรรม 5.0 นี้ขึ้นมา โดยมองว่าอุตสาหกรรม 4.0 ไม่สามารถที่จะทำให้ภาคอุตสาหกรรมในประเทศมุ่งไปสู่ความยั่งยืนได้
แนวคิดของอุตสาหกรรม 5.0 นี้จะเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมโดยมีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง ซึ่งเป็นการให้ความสำคัญเกี่ยวกับการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการเสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงาน และลดความผิดพลาดจากกระบวนการทำงานอีกด้วย โดยมองถึงความปลอดภัย ความสะดวกสบาย และสถานประกอบการที่เป็นมิตรต่อมนุษย์เช่นเดียวกัน รวมไปถึงการมุ่งเน้นการลดผลกระทบของกระบวนการทำงานและการผลิตที่มีต่อชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย โดยมีหนึ่งนโยบายจากประเทศจีนที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก ซึ่งถือเป็นนโยบายหลักที่รัฐบาลจีนได้นำมาเป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไปสู่ยุคอุตสาหกรรม 5.0 อย่างเต็มตัวนั้น ก็คือนโยบาย Made in China 2025
โดยนโยบายดังกล่าวจะเป็นการพัฒนาจีนจากประเทศที่ครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกว่า “โรงงานของโลก” ไปสู่การเป็น “นวัตกรรมการผลิตของโลก” ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะเป็นการวางนโยบายที่จะเน้นการพัฒนา 10 กลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคตของประเทศจีน (ซึ่งคล้ายคลึงกับ New S-Curve ของไทย) ผ่านกระบวนการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการสร้างห่วงโซ่คุณค่า หรือการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนอุตสาหกรรมเดิมในประเทศ
แม้ว่าประเทศไทยจะไม่ได้มีนโยบายที่กล่าวถึงอุตสาหกรรม 5.0 โดยตรง แต่ในทางปฏิบัติก็ได้มีนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยไว้ค่อนข้างมาก ซึ่งในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI นั้น ก็ได้มีการออกหลักเกณฑ์สนับสนุนต่าง ๆ สำหรับนักลงทุน ภายใต้ยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุน 5 ปี โดยจะเริ่มใช้ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2566-2570 โดยจะเป็นการพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อทิศทางการลงทุนเพื่อส่งเสริมและพัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันในประเทศไทย
ซึ่งสาระสำคัญของยุทธศาสตร์ดังกล่าวมีเป้าหมายในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยไปสู่ “ระบบเศรษฐกิจใหม่” เพื่อเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีโลกในระยะยาว โดยจะเน้นแนวคิดทางด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมในปัจจุบันไปสู่อุตสาหกรรมรูปแบบใหม่อยู่ 2 รูปแบบคือ Smart and Sustainable Industry โดยคำว่า Smart Industry นั้น จะเน้นการผลักดันให้นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้าไปใช้ในกระบวนการทำงานไม่ว่าจะเป็นหุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติและดิจิทัล เพื่อมายกระดับกระบวนการทำงาน การผลิตและการให้บริการ ส่วนคำว่า Sustainable Industry นั้นจะเป็นการสนับสนุนให้เกิดการนำพลังงานหมุนเวียนมาใช้รวมไปถึงการลดของเสียในกระบวนการผลิตให้ได้มากที่สุดอีกด้วย
ในขณะเดียวกันกระทรวงอุตสาหกรรมซึ่งเป็นหัวเรือใหญ่ในการออกแบบนโยบายด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศ ซึ่งถึงแม้ว่านโยบายส่วนใหญ่จะเป็นการรองรับการเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 เท่านั้น แต่หากพิจารณานโยบายดังกล่าวให้ละเอียดมากขึ้น จะพบว่านโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมของไทยนั้นได้ถูกวางยุทธศาสตร์ และแนวปฏิบัติไว้ในการเตรียมเข้าสู่การเป็นอุตสาหกรรม 5.0 เรียบร้อยแล้ว ทั้งแนวคิดการยกระดับอุตสาหกรรมเดิมที่มีความโดดเด่น รวมไปถึงการสร้างฐานอุตสาหกรรมใหม่ที่สามารถสร้างมูลค่าและตอบสนองต่อกระแสโลกได้ เช่น การนำอุตสาหกรรมการเกษตรไปสู่การเป็น Smart farming หรือการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารซึ่งเป็นอุตสาหกรรมใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ และในประเด็นของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาห้องทดลอง ศูนย์ทดสอบและสนามทดสอบกลาง
ตลอดจนนโยบายทางด้านการปรับปรุงและพัฒนาฐานการลงทุน การผลิตและการส่งออกของอุตสาหกรรมในปัจจุบันผ่านยุทธศาสตร์ทางด้านการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและการดำเนินงาน ผ่านการพัฒนาทักษะแรงงานให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมและธุรกิจ รวมไปถึงการนำเครื่องจักรที่ทันสมัยเข้ามาใช้งาน ซึ่งในการทำงานในอนาคตการพัฒนาทักษะของแรงงานนั้นจะเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เนื่องจากในยุคอุตสาหกรรม 5.0 แรงงานจะต้องทำงานร่วมกันกับเครื่องจักรให้ได้อย่างราบรื่นและเป็นหนึ่งเดียวกันมากที่สุด หรือการเน้นอุตสาหกรรมสีเขียว เช่น การเป็น Green Factory หรือ Eco-Town ซึ่งเป็นแนวคิดหลักของอุตสาหกรรม 5.0 ในการที่จะลดผลกระทบจากกระบวนการดำเนินงานและการผลิตที่มีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมให้ได้มากที่สุด
จากที่กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่าประเทศไทยมีความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น แต่ก็ยังมีช่องว่างในการพัฒนาเพื่อให้ไปถึงเป้าประสงค์อยู่พอสมควร ผู้เขียนจึงขออนุญาตสรุปแนวทาง 5 ข้อที่เหมาะสมในการนำประเทศไทยก้าวไปสู่ยุค “อุตสาหกรรม 5.0” ไว้ดังนี้
1. การพัฒนาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องจะต้องพัฒนาจากรากฐานของอุตสาหกรรม 4.0 ก่อน โดยเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ให้ความสำคัญเพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับการทำงานร่วมกันกับมนุษย์ในการเสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงานและลดความผิดพลาดจากกระบวนงาน โดยคำนึงถึงความปลอดภัย ความสะดวกสบาย และสถานประกอบการที่เป็นมิตรต่อผู้ปฏิบัติงาน
2. การออกนโยบายควรพิจารณาถึงผลกระทบของกระบวนการดำเนินงาน การผลิตและการบริการที่ส่งผลต่อประชาชน สังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะเป็นการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยลดของเสียต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ตลอดกระบวนการดังกล่าว โดยมองไปถึงเป้าหมายสูงสุดคือความยั่งยืนของสังคมและสิ่งแวดล้อม
3. การพัฒนาอุตสาหกรรมจะต้องดำเนินควบคู่ไปกับการพัฒนาทุนมนุษย์ โดยเน้นที่ความก้าวหน้าและการพัฒนาความรู้ ทักษะ ความสามารถและความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยของแรงงาน เพื่อเป็นการสร้างรายได้ ชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดี และเพิ่มความเท่าเทียมในสังคม
4. นโยบายเชิงมหภาคควรเป็นแนวทางในการออกแบบเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ ไม่ว่าจะเป็นระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular economy) หรือระบบเศรษฐกิจสีเขียว (Green economy) รวมไปถึงการพัฒนาโมเดลทางธุรกิจในรูปแบบอื่น ๆ ที่เหมาะสมกับความเฉพาะของแต่ละอุตสาหกรรม และการพัฒนาการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานในรูปแบบใหม่ นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องมีการสนับสนุนการวิจัยและการสร้างนวัตกรรมที่สอดคล้องกับความยั่งยืนและจะต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงทางด้านภูมิอากาศและสภาพแวดล้อมเช่นเดียวกัน
5. การสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจ ให้สามารถปรับตัวได้ มีความยืดหยุ่นต่อวิกฤตการณ์ต่าง ๆ โดยข้อสังเกตที่สำคัญคือการเกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นชัดเจนว่าภาคอุตสาหกรรมของไทยยังไม่มีแผนรองรับเหตุการณ์ดังกล่าว ดังนั้นการมีนโยบายที่เหมาะสมนั้นจะช่วยให้อุตสาหกรรมสามารถเพิ่มความยืดหยุ่นตลอดห่วงโซ่อุปทานได้ และสามารถดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่องเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ทั้งนี้ก็จำเป็นต้องอาศัยการมีส่วนร่วมจาก 3 กลุ่ม ทั้งภาคประชาชน ภาคธุรกิจ และรัฐบาล
โดย ดร.กติกา ทิพยาลัย อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


