posttoday

เมื่อภาษีความหวานระยะที่ 3 มาถึง…ผู้ประกอบการต้องรับมือกับอะไรบ้าง

28 มิถุนายน 2566

ปัจจุบันมีผู้ที่บริโภคเครื่องดื่มที่มีความหวานมากส่งผลต่อสุขภาพและได้มีมาตรการทางกฎหมายจัดการกับปัญหา โดยมีการเก็บ "ภาษีความหวาน" ดังนั้นจึงสมควรที่จะนำมาตรการทางด้านภาษีมาจัดเก็บภาษีความหวาน ผู้ประกอบการต้องรับมือกับภาษีความหวานที่ต้องเสียเพิ่มขึ้น

     การบริโภคเครื่องดื่มที่มีความหวานมากเกินไปจะมีผลกระทบต่อสุขภาพ นับเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคเบาหวาน ความดัน โรคอ้วน หลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดสมอง อัมพฤกษ์ อัมพาต และมีแนวโน้มพบผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นในทุกๆ ปี ส่งผลต่อปัญหาทางด้านสาธารณสุขของประเทศไทย

     จากปัญหาดังกล่าวทำให้ในปัจจุบันได้มีมาตรการทางกฎหมายในการจัดการกับปัญหา โดยมีมาตรการสร้างสุขภาพให้กับคนไทยด้วยการเก็บ “ภาษีความหวาน” ขึ้น โดยเป็นการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากผู้ประกอบการอุตสาหกรรม และผู้นำเข้าเครื่องดื่ม รวมถึงผู้ผลิตที่ใช้เครื่องดื่มที่มีลักษณะเป็นผง เกล็ด หรือเครื่องดื่มเข้มข้นที่มีส่วนผสมของน้ำตาลและสามารถละลายน้ำได้ 

     ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาทางสุขภาพจากการบริโภคเครื่องดื่มที่มีความหวานมากเกินความจำเป็น จึงสมควรที่จะนำมาตรการทางด้านภาษีมาจัดเก็บภาษีความหวาน ซึ่งจะมีการปรับอัตราเพิ่มขึ้นแบบขั้นบันได และถึงเวลาแล้วที่ผู้ประกอบการต้องปรับแผนรับมือกับภาษีความหวานที่ต้องเสียเพิ่มขึ้น โดยสามารถศึกษาข้อมูลรายละเอียดและแนวทางปฏิบัติดังนี้ 

ภาษีความหวานคืออะไร

     ภาษีความหวาน เป็นแผนภาษีเพื่อสุขภาพเพื่อแก้ไขปัญหาการบริโภคความหวานมากเกินความจำเป็น โดยเป็นภาษีที่ถูกจัดเก็บจากกรมสรรพสามิต ซึ่งอัตราการเก็บภาษีความหวานมีอยู่ 2 ประเภท คือ อัตราภาษีมูลค่า ซึ่งจะคำนวณจากราคาขายปลีก และอัตราภาษีตามปริมาณ 

     โดยเครื่องดื่มที่มีความหวานมากก็จะถูกเก็บภาษีสูงขึ้นตามไปด้วย ส่วนเครื่องดื่มที่มีความหวานน้อยก็ถูกเก็บภาษีน้อยลงตามสัดส่วนที่กำหนด ซึ่งระยะที่ 1 บังคับใช้ในวันที่ 16-30 กันยายน 2560 จัดเก็บภาษีความหวานในเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาล โดยให้เวลาผู้ประกอบการปรับตัว 2 ปี เพื่อให้ผู้ประกอบการลดปริมาณน้ำตาลในสินค้าตนเอง 

     และระยะที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 ถึงวันที่ 30 มีนาคม 2566 หากผู้ประกอบการไม่ปรับลดน้ำตาลลงก็ต้องเสียภาษีอัตราก้าวหน้า 6 ระดับ โดยมีหลักเกณฑ์ คือ เครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลเกินเกณฑ์ต่อ 100 กรัม จะถูกจัดเก็บตามอัตราที่กำหนดไว้ คือยิ่งมีปริมาณน้ำตาลมากก็ยิ่งเสียภาษีในอัตราสูง 

     สุดท้ายระยะที่ 3 บังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2566 – 31 มีนาคม 2568

ส่องอัตราภาษีความหวานอัปเดตล่าสุด

     อย่างไรก็ตามอัตราการเก็บภาษีความหวานระยะที่ 1-3 มีผลบังคับใช้ไปแล้วนั้น แต่ยังมีอัตราภาษีเพิ่มขึ้นและคงที่ที่แตกต่างกันไป สามารถอธิบายได้ดังนี้ 

     อัตราภาษีความหวาน ระยะที่ 1 ปริมาณน้ำตาล 0-6 กรัม คิดอัตราภาษีตามปริมาณความหวาน 0 บาท/ลิตร ปริมาณน้ำตาล 6-8 กรัม คิดอัตราภาษีตามปริมาณความหวาน 0.1 บาท/ลิตร ปริมาณน้ำตาล 8-10 กรัม คิดอัตราภาษีตามปริมาณความหวาน 0.3 บาท/ลิตร ปริมาณน้ำตาล 10-14 กรัม คิดอัตราภาษีตามปริมาณความหวาน 0.5 บาท/ลิตร ปริมาณน้ำตาล 14-18 กรัม คิดอัตราภาษีตามปริมาณความหวาน 1 บาท/ลิตร ปริมาณน้ำตาลตั้งแต่ 18 กรัมขึ้นไป คิดอัตราภาษีตามปริมาณความหวาน 1 บาท/ลิตร 

     อัตราภาษีความหวาน ระยะที่ 2 ปริมาณน้ำตาล 0-6 กรัม คิดอัตราภาษีตามปริมาณความหวาน 0 บาท/ลิตร ปริมาณน้ำตาล 6-8 กรัม คิดอัตราภาษีตามปริมาณความหวาน 0.1 บาท/ลิตร ปริมาณน้ำตาล 8-10 กรัม คิดอัตราภาษีตามปริมาณความหวาน 0.3 บาท/ลิตร ปริมาณน้ำตาล 10-14 กรัม คิดอัตราภาษีตามปริมาณความหวาน 1 บาท/ลิตร ปริมาณน้ำตาล 14-18 กรัม คิดอัตราภาษีตามปริมาณความหวาน 3 บาท/ลิตร ปริมาณน้ำตาลตั้งแต่ 18 กรัมขึ้นไป คิดอัตราภาษีตามปริมาณความหวาน 3 บาท/ลิตร

     อัตราภาษีความหวาน  ระยะที่ 3 ปริมาณน้ำตาล 0-6 กรัม คิดอัตราภาษีตามปริมาณความหวาน 0 บาท/ลิตร ปริมาณน้ำตาล 6-8 กรัม คิดอัตราภาษีตามปริมาณความหวาน 0.3 บาท/ลิตร ปริมาณน้ำตาล 8-10 กรัม คิดอัตราภาษีตามปริมาณความหวาน 1 บาท/ลิตร ปริมาณน้ำตาล 10-14 กรัม คิดอัตราภาษีตามปริมาณความหวาน 3 บาท/ลิตร ปริมาณน้ำตาล 14-18 กรัม คิดอัตราภาษีตามปริมาณความหวาน 5 บาท/ลิตร ปริมาณน้ำตาลตั้งแต่ 18 กรัมขึ้นไป คิดอัตราภาษีตามปริมาณความหวาน 5 บาท/ลิตร

     กล่าวโดยสรุป อัตราภาษีความหวานเป็นภาษีที่จะคำนวณจากปริมาณน้ำตาลต่อ 100 มิลลิลิตร โดยอัตราภาษีความหวานของเครื่องดื่มที่กรมสรรพสามิตใช้ในปัจจุบันจะแบ่งเป็น 3 ระยะ ซึ่งผู้ประกอบการยังคงต้องเผชิญความเสี่ยงจากมาตรการภาษีความหวานที่มีการปรับเพิ่มมากขึ้นเป็นระยะๆ รวมไปถึงสินค้าทดแทนที่เข้ามาแข่งขันในตลาดมากขึ้น

     ดังนั้น ในฐานะผู้ประกอบการควรมีการวางแผนภาษีความหวานให้ดี เพื่อให้จ่ายภาษีความหวานน้อยลง ไม่ว่าจะเป็นการปรับลดปริมาณความหวานให้น้อยลง หรือปรับราคาขายผลิตภัณฑ์ให้สูงขึ้นตามภาระภาษีความหวานที่เพิ่มขึ้น แต่จะเกิดผลข้างเคียงต่อผู้บริโภคจากโรคต่างๆ เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดัน ไขมัน เป็นต้น ที่เกิดจากการบริโภคความหวานมากจนเกินไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องคิดให้รอบด้านเช่นกัน

อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่  Inflow Accounting

ข่าวล่าสุด

กต.ชี้ กัมพูชาปิดด่านห้ามคนไทยกลับประเทศขัดกฎหมายระหว่างประเทศ