posttoday

เปิดคลังภาษีที่ธุรกิจแฟรนไชส์ควรรู้

19 เมษายน 2566

ปัญหาหลักๆ ของเจ้าของธุรกิจแฟรนไชส์ คือภาษีที่มีความเกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจด้านนี้ เช่น ภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ด้วยเหตุนี้ เจ้าของธุรกิจจำเป็นต้องเข้ามาศึกษาถึงระบบภาษีต่างๆที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบธุรกิจของตนเอง สามารถอธิบายได้ดังนี้

     การทำธุรกิจแฟรนไชส์เป็นวิธีการหนึ่งในการขยายตลาด และเป็นช่องทางการจัดจำหน่ายของธุรกิจ โดยผ่านผู้ประกอบการอิสระ ซึ่งในปัจจุบันกำลังเป็นที่สนใจและได้รับความนิยมจากผู้คนที่กำลังมองหาธุรกิจ 

     แต่ปัญหาหลักๆ ของเจ้าของธุรกิจแฟรนไชส์และผู้ซื้อแฟรนไชส์ คือภาษีที่มีความเกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจด้านนี้ เช่น ภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีหัก ณ ที่จ่าย รวมถึงภาษีป้าย และหากเป็นเจ้าของแฟรนไชส์ที่นำเข้าวัสดุอุปกรณ์ก็จะต้องมีภาษีศุลกากรเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

     ด้วยเหตุนี้ เจ้าของธุรกิจและผู้ซื้อแฟรนไชส์จำเป็นต้องเข้ามาศึกษาถึงระบบภาษีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบธุรกิจของตนเอง เพื่อให้ทำหน้าที่ผู้เสียภาษีได้อย่างถูกต้อง ไม่ส่งผลกระทบตามมาภายหลัง สามารถอธิบายได้ดังนี้   

ภาษีเงินได้
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

     1.เจ้าของแฟรนไชส์ ที่มีกิจการขนาดเล็กและไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล จะมีภาษีบุคคลธรรมดาที่เกี่ยวข้องอยู่ 2 ประเภท คือ รายได้ในรูปของค่าลิขสิทธิ์ ค่าตอบแทนทรัพย์สินทางปัญญา หรือค่า Goodwill จัดเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 3 มาตรา 40(3) สามารถหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท หรือหักตามจริง และเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 8 มาตรา 40(8) สามารถหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 60% หรือหักตามจริง     

     2.ผู้ซื้อแฟรนไชส์ ที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จัดอยู่เงินได้พึงประเมินประเภทที่ 8 มาตรา 40(8)สามารถหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 60% หรือหักตามจริง
 

ภาษีเงินได้นิติบุคคล
     ประกอบกิจการแฟรนไชส์ในรูปของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้จากกำไรสุทธิสูงสุด 20% จะต้องยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีดังนี้

     - การเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งรอบระยะเวลาบัญชี จะต้องยื่นแบบแสดงรายการพร้อมชำระภาษี (ถ้ามี) ตามแบบ ภ.ง.ด.51 ภายใน 2 เดือนนับจากวันสุดท้ายของทุก 6 เดือนแรกของรอบระยะเวลาบัญชี 

     - การเสียภาษีเงินได้จากกำไรสุทธิเมื่อสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี จะต้องยื่นแบบแสดงรายการพร้อมชำระภาษี (ถ้ามี) ตามแบบ ภ.ง.ด.50 ภายใน 150 วัน นับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี 

ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
     สำหรับธุรกิจแฟรนไชส์เมื่อผลประกอบการต่อปีเกิน 1.8 ล้านบาท ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของแฟรนไชส์หรือผู้ซื้อแฟรนไชส์  มีหน้าที่ต้องจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)    

     ทั้งนี้ เจ้าของแฟรนไชส์และผู้ซื้อแฟรนไชส์ จะต้องนำส่งภาษี (ภ.พ.30) ที่เรียกเก็บมาแก่กรมสรรพากร ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ซึ่งหากภาษีขายมากกว่าภาษีซื้อ กิจการจะต้องส่งเงินส่วนต่างค่าภาษีให้กับกรมสรรพากร แต่ถ้าภาษีซื้อมากกว่าภาษีขาย กิจการสามารถเลือกได้ว่าจะขอคืนหรือเก็บไว้หักยอดภาษีในครั้งต่อไปได้    
 

ภาษีศุลกากร
     หากมีการนำเข้าวัสดุอุปกรณ์ และเครื่องมือในการประกอบธุรกิจเข้ามาจากต่างประเทศ เจ้าของแฟรนไชส์มีหน้าที่เสียภาษีนำเข้าจากต่างประเทศ โดยคำนวณค่าภาษีตามพิกัดของอัตราศุลกากร ราคาสินค้า และสภาพสินค้าที่อยู่ในความรับผิดชอบที่ต้องเสียภาษี

     โดยการลงทะเบียนเป็นผู้ผ่านพิธีการศุลกากรทางอิเล็กทรอนิกส์ แบบไร้เอกสาร (Paperless) เฉพาะครั้งแรกเท่านั้น และต้องยื่นใบขนสินค้าขาเข้า   

ภาษีหัก ณ ที่จ่าย
ในส่วนของภาษีหัก ณ ที่จ่าย จะเกี่ยวข้องกับกิจการที่จดบริษัทเป็นนิติบุคคลเท่านั้น โดยแบ่งเป็น 3 กรณี คือ

     1.กรณีผู้ซื้อแฟรนไชส์จ่ายเงินตามสัญญาแฟรนไชส์ ให้กับเจ้าของแฟรนไชส์ในนามนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ ที่ไม่ได้ประกอบกิจการในประเทศไทย จะต้องมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 15% ของเงินได้     

     2.กรณีผู้ซื้อแฟรนไชส์จ่ายเงินตามสัญญาแฟรนไชส์ ให้กับเจ้าของแฟรนไชส์ในนามนิติบุคคลที่ประกอบกิจการในประเทศไทย จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 3%   

     3.กรณีผู้ซื้อแฟรนไชส์จ่ายเงินตามสัญญาแฟรนไชส์ ให้มูลนิธิหรือสมาคมที่ประกอบกิจการซึ่งมีรายได้ จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 3%   

ภาษีป้าย
ภาษีป้ายเป็นภาษีที่จัดเก็บจากป้ายแสดงชื่อ ยี่ห้อ หรือเครื่องหมายการค้า ไม่ว่าจะแสดงหรือโฆษณาไว้ที่วัตถุใดๆ ด้วยอักษรภาพหรือเครื่องหมายที่เขียน แกะสลัก หรือทำให้ปรากฏด้วยวิธีอื่นๆ ดังนั้น ป้ายชื่อ ของผู้ประกอบการแฟรนไชส์ที่ตั้งอยู่นอกห้างสรรพสินค้า ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ โลโก้ ยี่ห้อ ตัวอักษร ภาษาไทยหรือภาษาต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นป้ายทั่วไป ป้ายผ้าใบ ป้ายบิลบอร์ด หรือป้ายไฟโฆษณา ล้วนต้องเสียภาษีป้ายทั้งสิ้น

แล้วทราบหรือไม่ว่าภาษีป้ายคิดยังไง แบบไหนเสียเท่าไหร่ ลองมาดูไปพร้อมๆ กัน ตามข้อมูลดังนี้

     1.ป้ายที่มีตัวอักษรไทยล้วน
          1.1ป้ายที่มีข้อความที่เคลื่อนที่หรือเปลี่ยนเป็นข้อความอื่นได้ อัตราภาษีป้าย 10 บาท ต่อขนาดป้าย 500 ตารางเซนติเมตร
          1.2ป้ายติดทั่วไปที่นอกเหนือจากข้อ 1.1 อัตราภาษีป้าย 5 บาท ต่อ 500 ตารางเซนติเมตร

      2.ป้ายที่มีตัวอักษรไทยปนกับอักษรต่างประเทศ และ/หรือปนกับภาพ และ/หรือเครื่องหมายอื่น
          2.1ป้ายที่มีข้อความ เครื่องหมาย หรือภาพที่เคลื่อนที่ หรือเปลี่ยนเป็นข้อความ เครื่องหมาย หรือภาพอื่นใด อัตราภาษีป้าย 52 บาท ต่อ 500 ตารางเซนติเมตร 
          2.2ป้ายติดทั่วไปที่นอกเหนือจากข้อ 2.1 อัตราภาษีป้าย 26 บาท ต่อ 500 ตารางเซนติเมตร

     3.ป้ายที่ไม่มีตัวอักษรไทยไม่ว่าจะมีภาพหรือเครื่องหมายใดๆ หรือไม่ และป้ายที่มีอักษรไทยบางส่วน หรือทั้งหมดอยู่ใต้หรือต่ำกว่าอักษรต่างประเทศ
          3.1ป้ายที่มีข้อความ เครื่องหมาย หรือภาพที่เคลื่อนที่ หรือเปลี่ยนเป็นข้อความ เครื่องหมาย หรือภาพอื่นได้ อัตราภาษีป้าย 52 บาท ต่อ 500 ตารางเซนติเมตร 

กล่าวโดยสรุป การศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับภาษีประเภทต่างๆ ก่อนจะทำธุรกิจแฟรนไชส์ถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เพราะเจ้าของธุรกิจและผู้ซื้อแฟรนไชส์ มีหน้าที่เสียภาษีตามที่กฎหมายกำหนด ทั้งนี้ควรตรวจสอบและเก็บเอกสารใบกำกับที่มีรายละเอียดทั้งชื่อผู้ขาย ผู้ซื้อ ที่อยู่ เลขประจำตัวผู้เสียภาษี  เผื่อมีการเรียกตรวจสอบจากกรมสรรพากร 

อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ Inflow Accounting
 

ข่าวล่าสุด

ถ่ายทอดสด ไบรท์ตัน พบ ซันเดอร์แลนด์ พรีเมียร์ลีก วันนี้ 20 ธ.ค.68