ตำนานสุนทราภรณ์ (17)
โดย...นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน
************************
วงดนตรีสุนทราภรณ์ยุคหลังจากที่ครูเอื้อเกษียณอายุจากกรมประชาสัมพันธ์มี 2 วง คือ วงของกรมประชาสัมพันธ์กับวงสุนทราภรณ์ของครูเอื้v
วงของกรมประชาสัมพันธ์ มีชื่อว่า วงดนตรีสังข์สัมพันธ์ ต่อมาเปลี่ยนเป็นสังคีตสัมพันธ์ มีโลโก้เป็นรูปเทวดาเป่าสังข์ สวมเสื้อทีมใหญ่เป็นสีเขียว ส่วนวงสุนทราภรณ์ของครูเอื้อตราโลโก้เป็นตราดั้งเดิมคือ รูปท้าว ปัญจสิขรดีดพิณ และเสื้อทีมเป็นสีเลือดหมูดั้งเดิม
วงดนตรีสังข์สัมพันธ์ หรือสังคีตสัมพันธ์ ของกรมประชาสัมพันธ์เป็นวงดนตรี “ที่สามารถบรรเลงเพลง สุนทราภรณ์ได้ทุกเพลง นักดนตรีทุกคนเป็นนักดนตรีของกรมประชาสัมพันธ์ โน้ตเพลงก็เป็นโน้ตชุดเดียวกันกับที่เคยเล่นกันมาตั้งแต่ครั้งที่ครูเอื้อ สุนทรสนาน เป็นหัวหน้าวงและสร้างไว้ใช้บรรเลง ที่สำคัญก็คือนักร้องทุกคนล้วนแต่เป็นตัวจริงเสียงจริงที่เคยร้องเพลงสุนทราภรณ์ เคยสังกัดวงดนตรีสุนทราภรณ์มาก่อนด้วยกันทุกคน” (เล่ม 8 น. 42)
นักร้องที่เป็นที่รู้จักและนิยมของแฟนเพลงส่วนใหญ่ในเวลานั้น ยังรับราชการอยู่ในกรมประชาสัมพันธ์ เช่น วินัย จุลละบุษปะ, ศรีสุดา รัชตะวรรณ, วรนุช อารีย์, เลิศ ประสมทรัพย์, สมศักดิ์ เทพานนท์, มาริษา อมาตยกุล ส่วนวงดนตรีสุนทราภรณ์ ของครูเอื้อ นักร้องส่วนใหญ่เป็นรุ่นใหม่ ยังไม่มีชื่อเสียงโด่งดังเท่า เช่น บรรจงจิตต์ พัฒนาสันต์, เจือนศักดิ์ น้อยสุวรรณ, พรศุลี วิชเวช ผู้ว่าจ้างที่ต้องการวงสุนทราภรณ์ไปบรรเลงในงานต่างๆ มักกำหนดตัวนักร้องที่ชื่นชอบด้วย วงดนตรีที่ได้ไปบรรเลงจึงมักเป็นวงสังข์สัมพันธ์หรือสังคีตสัมพันธ์เป็นส่วนมาก วงดนตรีสุนทราภรณ์จึงไม่เข้มแข็งมั่นคงเช่นเดิม โดยเฉพาะเมื่อครูเอื้อเริ่มป่วยและจากไป แต่ยังประคับประคองตัวต่อมาได้โดยมี ครูดำ หรือครูพูลสุข สุริยพงษ์รังสี ซึ่งเป็นหลานตาของครูเอื้อมารับหน้าที่ และมีครูสริ ยงยุทธ ทำหน้าที่หัวหน้าวง
ครูสริ ยงยุทธ เป็นนักดนตรีรุ่นเดียวกับครูเอื้อ เป็นศิษย์พระเจนดุริยางค์รุ่นเดียวกัน “เป็นนักเปียโนฝีมือฉกาจหาใครทานได้ยาก จึงมีทั้งอาวุโสและบารมีเป็นที่รู้จักยาวนานเท่าครูเอื้อ สุนทรสนาน และเป็นนักดนตรีที่ได้ร่วมวง อส. ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 มาโดยตลอด และยังได้รับพระราชทานเสมาเงินเนื่องในโอกาส 60 ปี วงสุนทราภรณ์” (เล่ม 8 น. 48)
เพลงต่างๆ ที่เป็นผลงานของวงดนตรีสุนทราภรณ์สูงด้วยคุณค่าของทั้งคีตศิลป์และดุริยางคศิลป์ จับใจผู้คนมายาวนาน แม้จะไม่ยิ่งใหญ่และเข้มแข็งเหมือนสมัยที่ครูเอื้อยังอยู่ แต่ก็ยัง “ครองใจ” คนจำนวนไม่น้อย ดังรายการชีวิตกับเพลง ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 สี ได้ขอให้วงดนตรีสุนทราภรณ์ไปออกรายการเป็นประจำทุกเดือน รายการวิทยุ “ชีวิตกับเพลง” ของ เมธี ยิ่งยวด ดีเจชื่อดัง ก็เปิดเพลงของสุนทราภรณ์เป็นประจำ
ในที่สุดอาจารย์ไพบูลย์ ก็ตัดสินใจ เลือกวงดนตรีสุนทราภรณ์ไปทำ “สุนทรียะมาร์เก็ตติ้ง” ให้กับศูนย์การค้าเสรีเซ็นเตอร์ ไม่เลือกบรรดานักร้องชื่อดังเวลานั้น เพราะ “ล้วนแต่เป็นนักร้องอิสระ ไม่ได้สังกัดค่าย การติดตามดูแลการฝึกซ้อมน่าจะไม่ราบรื่น ที่สำคัญก็คือ งบประมาณค่าใช้จ่ายที่สูงเอาการ” (เล่ม 8 น.50)
แต่ในตอนแรกครูพูลสุข สุริษพงษ์รังสี หรือ ครูดำ หัวหน้าวงดนตรีสุนทราภรณ์ ไม่กล้ารับปาก “เพราะไม่แน่ใจว่าลูกค้าที่มาซื้อข้าวซื้อของ ในศูนย์การค้าเสรีเซ็นเตอร์ จะให้ความสนใจ จะฟังและชมการแสดงของวงดนตรีสุนทราภรณ์หรือไม่ หากลูกค้ามัวแต่เดินไปเดินมา วงดนตรี นักดนตรี นักร้อง ก็คงหมดกำลังใจแน่ๆ ที่สำคัญวงดนตรีสุนทราภรณ์เคยเล่นแต่งานบอล งานเต้นรำ หรือเป็นสถานที่ที่จำกัด เป็นสัดเป็นส่วน ไม่เคยคิดที่จะต้องมาเล่นในศูนย์การค้าแบบนี้มาก่อนเลย”
แต่ในที่สุดครูดำก็รับ เมื่อได้รับฟังแผนงานและรายละเอียดต่างๆ ซึ่งมีการวางแผนและเตรียมการอย่าง “มืออาชีพ” โดยแท้ คือ
ประการที่หนึ่ง การจัดคอนเสิร์ตครั้งนี้ เป็นการจัดดนตรีในแนวใหม่ ที่มีความทันสมัย ระบบแสง สี เสียง บรรยากาศเป็นกันเอง สะดวก อากาศเย็นสบาย เพราะอยู่ในศูนย์การค้าติดแอร์ ไม่ใช่แบบดนตรีในสวนที่ สวนลุมพินี หรือสังคีตศาล
ประการที่สอง เป็นฟรีคอนเสิร์ต ไม่เก็บเงินค่าดู และจัดเป็นประจำตลอดปี ทำให้วางแผนที่จะเข้าชมได้ตามใจชอบ
ประการที่สาม มีเก้าอี้นั่งที่ระบุหมายเลข โดยลูกค้าจะต้องมาลงทะเบียนจองตามที่กำหนด เพื่อให้เป็นระเบียบ ไม่ต้องแย่งชิงที่นั่ง หรือจองที่นั่งกันแบบไทยๆ คือเอากระเป๋าหรือถุงข้าวของวางบนเก้าอี้แทนตัว ล่าสุดเห็นในเวบไซต์โดยใช้รองเท้าวางจองคิวในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ส่วนเจ้าตัวนั่งรออยู่บนเก้าอี้ ไม่ต้องยืนเข้าคิวให้เมื่อยขา
ประการที่สี่ จะพิมพ์สูจิบัตร ขนาด 16 หน้ายก บอกรายชื่อเพลง นักร้อง เรื่องราว รายละเอียดของเพลง และเนื้อเพลงแต่ละเพลง แจกให้ฟรี ติดมือเอาไว้อ่าน ร้องคลอ และถือกลับบ้านอีกด้วย
ประการที่ห้า การแสดงจะเริ่มประมาณ 13.30 น. ซึ่งน่าจะเป็นเวลาที่เหมาะที่สุด เพราะมารับประทานอาหารกลางวันที่ศูนย์การค้าเสรีเซ็นเตอร์แล้วมาดูคอนเสิร์ตได้สบาย โดยลงทะเบียนจองล่วงหน้า การแสดงจะสิ้นสุด 16.30 น. ก็น่าจะเป็นเวลาที่เดินซื้อของกิน ของใช้ หิ้วกลับได้พอดี
ประการที่หก การบรรเลงในแต่ละครั้ง จะมีเพลงที่คัดสรรให้เข้ากับแนวของเพลง ประมาณ 30 เพลง เป็นอย่างต่ำต่อครั้ง
ประการที่เจ็ด เพลงที่จะใช้บรรเลงจะมีทีมงานคอยคิด กำหนด แนวเรื่อง แนวเพลง ให้เล่น ที่เรียกว่า Theme เช่น วันเกิดครูเอื้อ สุนทรสนาน (เดือนมกราคม) ; วันเกิดครูแก้ว อัจฉริยะกุล (เดือนพฤษภาคม) ; เพลงเกี่ยวกับวันนักขัตฤกษ์ ปีใหม่ สงกรานต์ ลอยกระทง ; เพลงเกี่ยวกับสถาบัน : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ; สถาบัน 4 เหล่าทัพ : นายร้อย จปร. , นายเรือ, นายเรืออากาศ, ตำรวจ ; เพลงเกี่ยวกับความรัก ; เพลงเกี่ยวกับการท่องเที่ยว เรียกว่า ได้ฟัง อิ่มทั้งหู ได้ความรู้ ความเพลิดเพลิน พร้อมกันไปด้วย
ประการที่แปด รายการนี้จะจัดตลอดทั้งปี ทุกบ่ายวันเสาร์ โดยเซ็นสัญญากันตลอดทั้งปี ในอัตราค่าจ้างที่เป็นธรรม ซึ่งมากกว่าที่วงดนตรีสุนทราภรณ์เคยได้รับ เพราะต้องทำการบ้าน ต้องซักซ้อมเพลงที่คิดค้นกันมาให้บรรเลง
ประการที่เก้า ในกรณีที่ต้องเชิญนักร้องอาวุโสในวงการ เช่น รวงทอง ทองลั่นธม, รุ่งฤดี แพ่งผ่องใส, ดาวใจ ไพจิตร หรือนักร้องศิษย์เก่า ของครูเอื้อ สุนทรสนาน จากกรมประชาสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นวินัย จุลละบุษปะ ศรีสุดา รัชตะวรรณ, วรนุช อารีย์, มาริษา อมาตยกุล ฯลฯ ก็จะมีงบพิเศษให้เป็นครั้งคราวไป
ประการที่สิบ ศูนย์การค้าเสรีเซ็นเตอร์ จะโฆษณาประชาสัมพันธ์ รายการฟรีคอนเสิร์ตนี้อย่างต่อเนื่องตลอดปี สรุปว่า รายการฟรีคอนเสิร์ตนี้ ทุกคน วิน วิน วิน (3 วิน) กันหมด คือทีมงานของศูนย์การค้าเสรีเซ็นเตอร์ ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยออกแรงในการติดต่อประสานงานมากเหมือนเมื่อก่อน
วงดนตรีสุนทราภรณ์มีงานเล่นประจำเป็นหลักแหล่ง แฟนเพลงสุนทราภรณ์ทุกกลุ่มทุกรุ่นก็จะได้สัมผัสกับฟรีคอนเสิร์ตอย่างใกล้ชิด และมีโอกาสได้ยืดเส้นยืดสาย หากเป็นรายการลีลาศ รำวง
ส่วนร้านค้า ที่เป็นหุ้นส่วนสำคัญของศูนย์การค้าเสรีเซ็นเตอร์ก็น่าจะได้กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เข้ามาอุดหนุนซื้อของกันอีกด้วย (เล่ม 8 น.53-55)


