posttoday

ใต้ถุนบ้านซอยสวนพลู (30)

30 เมษายน 2565

โดย...ทวี สุรฤทธิกุล

***************

ที่พึ่งของทหารนั้นไม่ใช่ประชาชน แต่เป็นสิ่งสูงส่งและเศรษฐีมีเงิน

เมื่อคณะราษฎรแตกแยกจากกันหลังรัฐประหาร8 พฤศจิกายน 2490 ฝ่ายของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ขึ้นมามีอำนาจอีกครั้ง นอกจากจะคอยกำจัดฝ่ายของนายปรีดี พนมยงค์ อย่างเอาเป็นเอาตายแล้ว ยังต้องหันไปหาพรรคพวกกลุ่มใหม่ ๆ โดยตอนแรกก็ไปคบกับพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับฝ่ายของนายปรีดั้นมาโดยตลอด โดยให้นายควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็ให้อู่ในตำแหน่งเพียง 4 เดือน เพราะต่อมาก็ได้ให้นายทหาร 3-4 คนพกอาวุธปืนเดินเข้าไปที่บ้านนายควง เพื่อไปบอกให้นายควงลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (สื่อมวลชนยุคนั้นเรียกกรณีนี้ว่า “กรณีนายกฯถูกจี้”)เพื่อที่จะให้จอมพล ป. ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี(ตัวจริง)แทนที่

ว่ากันว่าจอมพล ป.ในยุคใหม่นี้เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก จากที่ในอดีตไม่ใครจะชอบพวกนิยมเจ้าเท่าใดนัก ก็ได้หันมาคบหากับชนชั้นสูงที่เป็นพวกนิยมเจ้ามากขึ้น และพยายามให้พวกนิยมเจ้าเหล่านี้ชักนำขึ้นไปยัง “เบื้องสูง” ซึ่งก็ประสบความสำเร็จตามสมควร ทั้งนี้ทหารได้ใช้โอกาส “ผลัดแผ่นดิน” ในการสืบทอดราชบัลลังก์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 สร้างสัมพันธ์ระหว่างทหารกับพระเจ้าแผ่นดินขึ้นใหม่

แม้ฃบวนการนี้จะไม่มีข้อมูลหรือข่าวสารเป็นที่เปิดเผย แต่ก็อนุมานได้ว่า ทหารได้เข้าถวายการอารักขาพระเจ้าอยู่หัวเป็นอย่างดีและเข้มแข็งมากกว่าแต่ก่อนมาก รวมถึงที่ให้มีการจัดตั้งหน่วยทหารรักษาพระองค์เพิ่มขึ้น เพิ่มตำแหน่งนายทหารระดับสูงให้เป็นราชองค์รักษ์พิเศษ และการจัดชบวนประดับพระเกียรติยศเวลาที่เสด็จไปทรงงานในที่ต่าง ๆ รวมถึงที่ได้ให้นายทหารผู้ใหญ่ตามเสด็จไปด้วย เพื่อให้เกิดความไว้วางพระราชหฤทัย ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลยังได้เพิ่มบประมาณรายจ่ายในหมวดของพระมหากษัตริย์นั้นเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นอย่างมากด้วย

อย่างกรณีของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่โดยตำแหน่งหน้าที่ในสายงาน ก็เป็นนายทหารในระดับสูงของกองทัพบก ซึ่งก็คงจะได้รับมอบหมายจากรัฐบาลของจอมพล ป.นั่นแหละ ให้โดยเสด็จพระเจ้าอยู่หัวอยู่เป็นประจำตามตำแหน่งหน้าที่นั้นอยู่แล้ว ทั้งนี้โดยที่จอมพลสฤษดิ์จะรู้หรือตั้งใจหรือไม่ก็ตาม จอมพลสฤษดิ์ก็ได้ใช้โอกาสนั้นสร้างเสริมอำนาจให้กับตนเองเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งพอถึงวันหนึ่งจอมพลสฤษดิ์ก็ได้ใช้ “อำนาจพิเศษ” นี้โค่นล้มจอมพลป. (ซึ่งก็อาจจะเป็นไปโดยไม่ได้ตั้งใจหรือไม่ก็ตาม) แล้วขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แล้วก็ทำให้จอมพลสฤษดิ์มีพลังมหาศาล อย่างที่นักรัฐศาสตร์บางท่านเรียกจอมพลสฤษดิ์ว่า คือ “พ่อขุนอุปถัมภ์เผด็จการ” (คือเปรียบเทียบว่าเป็นการกลับไปสู่การปกครองแบบพ่อปกครองลูกเหมือนในครั้งพ่อขุนรามคำแหง ภายใต้การใช้อำนาจเผด็จการเพื่อสร้างการอุปถัมภ์ให้ประชาชนพึ่งพิงตลอดไป)

ยิ่งไปกว่านั้นทหารก็ได้มีวิธีการสร้างฐานอำนาจที่ “พัฒนา” ขึ้นกว่าแต่ก่อนเป็นอย่างมาก อย่างที่ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เล่าให้ลูกศิษย์ลูกหาและคนใกล้ชิดได้ฟังว่า ตอนที่ท่านรับราชการอยู่ในกองทัพ โดยได้ถูกเกณฑ์ไปออกศึกร่วมไปกับกองทัพภาคเหนือถึง2ทัพ คือในสงครามอินโดจีนกับสงครามมหาเอเชียบูรพา ในช่วงก่อนที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่2 เคยทราบว่าทหารในกองทัพภาคเหนือค้าฝิ่น และส่งเป็นส่วยไปให้กับ “นาย” ที่ส่วนกลางด้วย ต่อมาท่านถูกเรียกตัวให้กลับมาทำงานที่ธนาคารแห่งประเทศไทยที่กรุงเทพฯ ก็ได้รับรู้ถึงเรื่องการหากินกับธนาคารบางแห่งของนายทหารผู้ใหญ่จำนวนหนึ่ง นั่นก็แสดงว่า ทหารได้พัฒนาจากการลงแรงทำมาหากินเองอย่างการขายฝิ่น มาเป็นการหากินจากคนอื่น โดยการใช้ตำแหน่งและอำนาจให้ความคุ้มครองและสร้างผลประโยชน์ให้กับนักธุรกิจ อย่างการที่ไปขอรับส่วนแบ่งเอาทรัพย์สินเงินทองจากพ่อค้าทั้งหลายนั้น

ในยุคสมัยที่ทหารขึ้นครองเมืองตั้งแต่ พ.ศ. 2490ในตำรารัฐศาสตร์เรียกว่าเป็นยุค “นายทุนขุนศึก” โดยขุนศึกก็หมายถึงนายทหาร ส่วนนายทุนก็คือพ่อค้านักธุรกิจทั้งหลาย เพราะนอกเหนือจากที่ขุนศึกจะหากินกับนายทุนแล้ว ขุนศึกยังเข้าประกอบธุรกิจเสียเอง อย่างเช่นการเกิดขึ้นของนายทหารกลุ่มซอยราชครู ที่ส่งเสริมให้ลูกหลานและเครือญาติแต่งงานหรือเข้าร่วมทำธุรกิจกับกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ รวมถึงที่ขุนศึกเหล่านั้นเข้าไปมีหุ้นลมหรือเป็นหุ้นส่วนกับธุรกิจต่าง ๆ รวมทั้งที่ได้รัการแต่งตั้งให้มีตำแหน่งบางอย่างในบริษัท เพื่อให้นายทหารเหล่านั้นเป็น “ยันตร์กันผี” หรือเอาไว้ให้พวกพ่อค้าต่าง ๆ ไว้อวดเบ่งและประกวดประชันกันอีกด้วย

อนึ่งในยุคนั้นนั่นเอง รัฐบาลทหารก็ได้ตั้งรัฐวิสาหกิจทั้งน้อยทั้งใหญ่ขึ้นเป็นอันมาก ตั้งแต่การขายน้ำมันเชื้อเพลิง การขนส่งทั้งทางน้ำ ทางบก และทางอากาศ ลงมาจนถึงการตัดเสื้อผ้าและรองเท้า แล้วก็แต่งตั้งให้นายทหารที่ใกล้ชิดผู้มีอำนาจ หรือมีแววว่าจะเลี้ยงดูให้มีอำนาจต่อไป ให้ไปมีตำแหน่งเป็นกรรมการและประธานกรรมการอยู่ในบริษัทเหล่านั้นเต็มไปหมด เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับลูกน้องเหล่านั้น รวมถึงที่เป็น “ท่อส่งน้ำ” ถ่ายเทผลประโยชน์ในองค์กรรัฐวิสาหกิจเหล่านั้น มาสู่ผู้มีอำนาจที่เป็นนายทหารใหญ่ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำนั้นอีกด้วย

ผมจำได้ว่า ในการชุมนุมเพื่อล้มเผด็จการทหารในเดือนตุลาคม 2516 ผู้ขึ้นอภิปรายซึ่งก็คือผู้นำนิสิตนักศึกษา ได้ขุดคุ้ยเอาข้อมูลความร่ำรวยของนายทหารที่มีอำนาจอยู่ในยุคนั้น มาตีแผ่บนเวทีได้อย่างน่าตื่นเต้น เรียกเสียงฮือฮาจากผู้ฟังนับหมื่น ๆ ได้ตลอดวันตลอดคืน ที่พอจะจำได้ก็เช่น นายทหารคนหนึ่งที่บังคับให้มหาวิทยาลัยชื่อดังเอาชื่อของเขาไปตั้งเป็นชื่อสนามฟุตบอล ร่ำรวยมาก ๆ ถึงขนาดซื้อทองคำหนักเส้นละหลายบาทแจกคนใช้และทหารรับใช้ทุกคน หรือเมียของนายทหารใหญ่อีกคนหนึ่งเลี้ยงหมาพันธุ์ขนฟู ๆ ได้เอาเพชรเม็ดโตประมาณหัวแม่มือมาทำเป็นจึ้คล้องคอให้หมาตัวนั้น เป็นต้น

นอกจากนี้ ทหารยังพยายามขยายความสัมพันธ์ไปสู่ภาคส่วนต่าง ๆ ทางสังคมภายหน่วยงานและกิจกรรมต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นเป็นระยะ ๆ เป็นต้นว่า การตั้งวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.)ที่ตอนแรก ๆ ก็เปิดสอนให้เฉพาะกับนายทหาร นายตำรวจ และข้าราชการจากกระทรวงต่าง ๆ เท่านั้น ก็สามารถสร้าง “คอนเน็คชั่น” ให้กับนายทหารทั้งหลายได้มากมายไปในทุกหน่วยราชการนั้นอยู่แล้ว

แต่ต่อมาได้เปิดรับเอา ภาคเอกชน พ่อค้า และนักธุรกิจ เข้าไปเรียนร่วมด้วย ก็ยิ่งทำให้นายทหารรุ่นต่อ ๆ มา “ใหญ่คับบ้านคับเมือง” เพราะไม่เพียงแต่จะมีอำนาจใหญ่เหนือหน่วยราชการต่าง ๆ นั้นอยู่แล้ว ยังใหญ่เหนือเศรษฐีคนมีสตังค์นั้นอีกด้วย ที่หมายถึงการมีอำนาจอย่างมหาศาล “ครอบฟ้าครอบแผ่นดิน” เพราะทหารได้รวบรวมผู้มีอำนาจทั้งด้านการเมืองการปกครองกับด้านเศรษฐกิจและสังคมในทุก ๆ ภาคส่วนของประเทศในทุกระดับ เข้ามาอยู่ใน “อุ้งมือ” ของทหารจนหมดสิ้น

ด้วยสิ่งเหล่านี้จึงหา “ใคร” ที่จะ “ใหญ่” กว่าทหารนั้น “ไม่มีอีกแล้ว”

******************************

ข่าวล่าสุด

ดูบอลสด ถ่ายทอดสด อาร์เซน่อล พบ วูล์ฟ พรีเมียร์ลีก วันนี้ 13 ธ.ค.68