posttoday

ใต้ถุนบ้านซอยสวนพลู (28)

16 เมษายน 2565

โดย...ทวี สุรฤทธิกุล

****************

ความรักของพ่อเปรมกับแม่พลอยอาจจะไม่แฮปปี้เอ็นดิ้ง แต่ก็สอนการเมืองไทยได้ดีมาก

พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ท่านคงไม่ได้เตรียมตัวมาเป็นนายกรัฐมนตรีหรือนักการเมืองมาก่อน และด้วย “สำนึกไทย ๆ” ที่คิดว่าคงเป็นวาสนาและชะตากำหนด แบบ “บุญหล่นทับ” หรือ “ราชรถมาเกย” ทำให้ท่านต้องมารับหน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้

ดังนั้นท่านจึงไม่ได้ปรับตัวที่จะเป็นแบบนักการเมืองหรือผู้นำในระบอบประชาธิปไตยทั้งหลาย ที่จำเป็นจะต้องสื่อสารกับประชาชนอย่างเข้มข้น ในขณะเดียวกันก็ต้องสื่อสัมพันธ์กับกลุ่มคนต่าง ๆ โดยเฉพาะฐานอำนาจทางการเมืองทั้งหลาย “ให้ดีเป็นพิเศษ” แต่เมื่อท่านไม่ได้แสดงพฤติกรรมในลักษณะดังกล่าวมานั้น ก็อาจจะทำให้หลาย ๆ คนที่คาดหวังว่าท่านจะต้องทำตัวอย่างนั้น เกิดความผิดหวัง ความผิดหวังได้กลายเป็นความชัง และสุดท้ายความชังนั้นได้กลายเป็นความโกรธแค้นพยาบาท

พลเอกเปรม อาจจะตั้งใจที่จะใช้ความสงบนิ่งพูดน้อยของท่านแสดงสัจธรรมบางอย่าง คือสัจธรรมที่ว่าการเมืองจะดีจะต้องมีผู้นำเป็นแบบอย่าง แต่ความจริงนั้นการเมืองไม่ได้ใช้หลักธรรมของการเมืองในแบบดังกล่าว เพราะการเมืองเป็นเรื่องของการแข่งขัน การเอาแพ้เอาชนะ ทุกคนต้องแสดงศักยภาพออกมาให้เต็มที่ แต่การที่พลเอกเปรมใช้อาการอมพะนำ ไม่โต้ตอบ ไม่ขัดแย้ง และไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว ก็เหมือนกับว่าท่านอยู่เหนือระบบการแข่งขัน ท่านไม่ใช่นักการเมือง และท่านไม่ผู้นำในแบบเดิม ๆ เรียกง่าย ๆ ว่า ท่านคือ “ผู้พิเศษ” (มีความหมายต่างจาก “ผู้วิเศษ” ที่อาจจะไม่ใช่มนุษย์ หรือมีอำนาจพิเศษเหนือมนุษย์ แต่ “ผู้พิเศษ” นี้ยังเป็นมนุษย์ เพียงแต่วางตัวอยู่ไม่เหมือนใคร หรือทำอะไรไม่เหมือนใครเท่านั้น) และต้องการที่จะทำการเมืองในแบบของท่าน ในแบบที่ “ดีกว่าแบบเดิม ๆ”

ฎีกา99 นักวิชาการใน พ.ศ. 2531 ได้สะท้อนภาพความไม่ทนต่อภาวะความเป็นผู้พิเศษของพลเอกเปรมในยุคนั้น ด้วยข้อกล่าวหาในฎีกาว่า พลเอกเปรมไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาทางการเมืองในช่วงนั้น ทั้งที่พลเอกเปรมก็คือส่วนหนึ่งของการสร้างปัญหาดังกล่าว นั่นก็คือความขัดแย้งในกองทัพ ในระบบราชการ ในรัฐบาล และในรัฐสภา จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนผู้นำ เพื่อเอาผู้นำที่กล้าสู้ปัญหา และมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหานั้นอย่างจริงจัง ด้วยการหานายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งในระบอบประชาธิปไตยสามารถทำได้ด้วยการที่นายกรัฐมนตรีต้องลาออก หรือไม่ก็ให้มีการเลือกตั้งแล้วสรรหานายกรัฐมนตรีเข้ามาใหม่ ซึ่งพลเอกเปรมเลือกวิธีหลัง แล้วท่านก็แสดงความเป็นผู้พิเศษออกมาอีกครั้งหนึ่ง ด้วยการกล่าวประโยคที่นักการเมืองทั่ว ๆ ไปไม่พูดกัน นั่นก็คือ “ผมพอแล้ว”

อย่างที่ผมได้เล่าให้ฟังเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า กลุ่มนักวิชาการที่เสนอแนวคิดเรื่องการยื่นถวายฎีกาได้เข้าพบท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เพื่อนำเรียนแนวคิดการถวายฎีกาและขอคำปรึกษาในเรื่องดังกล่าวก่อนด้วย โดยท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ไม่เพียงแต่จะไม่ได้ขัดขวางอะไรแล้ว ยังให้ “ข้อคิด” กับกลุ่มผู้เข้าพบด้วย ซึ่งเป็นข้อคิดที่ผมคิดว่ามีความสำคัญ และแสดงจุดยืนบางอย่างของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ รวมถึงวิวัฒนาการในความสัมพันธ์ระหว่างท่านอาจารย์คึกฤทธิ์กัลป์พลเอกเปรม ที่ต้องจบลงด้วย “ความขมขื่น” นั้น

ข้อความที่จะเขียนต่อไปนี้อาจจะไม่ใช่คำพูดแบบ “คำต่อคำ” ที่ผมได้ฟังอยู่ด้วยในวันนั้น แต่ก็เป็นความพยายามที่จะเรียบเรียงให้ใกล้เคียง โดยเฉพาะ “นัยยะ” หรือจุดมุ่งหมายที่อยู่เบื้องหลังของการถวายฎีกาที่ไม่ได้ระบุไว้ในฎีกาโดยตรงจากฝ่ายของนักวิชาการ กับ “ความตกลงปลงใจ” ของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ที่อาจจะดู “ง่ายเกินไป” ในการที่จะยอมรับและเห็นด้วยกับการตัดสินใจในเรื่องร้อน ๆ เช่นนั้น

ท่านทั้งหลายอย่าลืมว่า การถวายฎีกานั่นเป็นเรื่องใหญ่มากในสังคมไทย คนที่จะทำก็จะต้องเป็นคนที่เดือดร้อนหรือประสบความทุกข์อย่างหนัก เช่น คนที่ถูกตัดสินประหารชีวิตฎีกาขอพระราชทานลดโทษ หรือคนที่สิ้นไร้ไม้ตอกฎีกาขอรับพระราชทานพระราชานุเคราะห์ นั่นก็คือ กลุ่มนักวิชาการได้พิจารณาเห็นว่าบ้านเมืองในตอนนั้นกำลัง “ทุกข์หนัก” หรือมีวิกฤติร้ายแรงมาก ๆ ซึ่งที่ระบุไว้ในคำถวายฎีกา พูดถึงวิกฤติร้ายแรงนั้นแต่เพียงที่จะส่งผลต่อสถาบันทางการเมืองที่รับรู้กันอยู่โดยทั่วไป คือ กองทัพ ระบบราชการ รัฐบาล และรัฐสภา เท่านั้น

แต่ในข้อสนทนาใต้ถุนบ้านสวนพลูในวันดังกล่าว ยังรวมหมายถึงวิกฤติร้ายแรงที่จะเกิดแก่สถาบันทางการเมืองที่รับรู้ด้วยประเพณีทางการปกครองของไทยนั้นอีกด้วย นั่นก็คือวิกฤติร้ายแรงที่จะเกิดกับ “พระมหากษัตริย์”

วิกฤติร้ายแรงที่จะเกิดแก่พระมหากษัตริย์นี่เอง ที่มา “จุดไฟ” และ “เผาหัวใจ” ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ที่ทำให้ท่านเห็นด้วยและเออออเอากับคณะที่ถวายฎีกานั้นในทันที

ผมในฐานะผู้เล่าเรื่องขออธิบาย “อ้อม ๆ” ว่า เราต้องย้อนกลับไปดูในตอนที่พลเอกเปรมได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในตอนปลายเดือนมีนาคม พ.ศ. 2523นั่นก็คือสถานการณ์ที่ผมขอเรียกว่า “ฟ้ากำหนด” ที่ทำให้ทุกคนทุกฝ่าย ซึ่งตอนนั้นมีอยู่ 2 ฝ่ายสำคัญที่สำคัญมาก ๆ ได้แก่กองทัพและนักการเมือง ซึ่งกองทัพก็มีนายทหารในระดับผู้บัญชาการเหล่าทัพ

แต่ที่สำคัญก็คือกลุ่มนายทหารยังเติร์ก ที่เป็นกำลังหลักของกองทัพ ได้หันมาสนับสนุนพลเอกเปรมทั้งหมด อีกฝ่ายหนึ่งซึ่งก็คือนักการเมืองนั้น ในยุคนั้นพรรคกิจสังคมก็คือพรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุด เพราะอยู่ภายใต้การนำของนักการเมืองที่จะต้องยอมรับกันว่า “มีบารมีมากที่สุด” ในยุคนั้น ซึ่งก็คือท่านอาจารย์คึกฤทธิ์นั่นเอง ซึ่งท่านก็เป็นคนที่มีหลักการเดียวในชีวิตการเมืองของท่าน นั่นก็คือ “เทิดทูนและปกป้องพระมหากษัตริย์”

ตลอดระยะเวลากว่า 8 ปีที่พลเอกเปรมอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ก็ได้ทำหน้าที่ภายใต้หลักการเดียวในชีวิตของท่านนั้นมาอย่างเข้มแข็งและอดทนเป็นที่สุด แม้จะต้องเป็นไปด้วย “ทั้งรัก ทั้งชัง และขมขื่น” อย่างที่ผมได้เล่ามา 4-5 สัปดาห์นั้น ซึ่งกรณีฎีกาของคณะนักวิชาการ 99 คนนั้น ก็เป็นเพียงแค่ “ฟางเส้นสุดท้าย” ที่ทำให้ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์สามารถตัดสินใจเอาพลเอกเปรมลงจากบ่าได้อย่างโล่งอก

อย่างไรก็ตามผมก็ไม่สามารถที่จะอธิบายได้ว่า อะไรคือ “วิกฤติร้ายแรง” ที่จะเกิดแก่พระมหากษัตริย์ และก็ไม่อาจจะกล่าวหาว่าเรื่องนี้เกิดจากใครโดยตรงได้ เพราะในทางส่วนตัวของพลเอกเปรม ท่านก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่ได้ชื่อว่า “รักและเทิดทูน” พระมหากษัตริย์เหนือยิ่งชีวิตเช่นกัน

บางทีคนที่รักกันเมื่อถึงคราว “สันนิวาสบาดหมาง” รักนั้นก็ต้องจืดจางและสิ้นสุดลงเป็นธรรมดา

******************************

ข่าวล่าสุด

ถ่ายทอดสด ไบรท์ตัน พบ ซันเดอร์แลนด์ พรีเมียร์ลีก วันนี้ 20 ธ.ค.68